วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เมื่อผมได้ฟัง JH5 pro(รีวิวเสียงและการใช้งาน)

เป็น entry ต่อเนื่องจาก http://goo.gl/tjA59  โดยคราวนี้จะเล่าเกี่ยวกับการใช้งานและก็เรื่องแนวเสียงครับ อาจจะอธิบายเข้าใจยาก ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยล่วงหน้าก่อนเลยครับ

ด้านการใช้งาน
เอาเรื่องการใช้งานจริงก่อนละกันวิธีใส่มันก็คือการหมุนครับ ถือหูฟังเอียงไปด้านหน้า1/4 จิ้มใส่หูแล้วหมุนกลับมาด้านหลังเข้ารูหูพอดี ส่วนการถอดก็ทำตรงข้ามกันครับ ฟังดูง่ายๆแต่ได้มาช่วง 3 วันแรกกว่าผมจะหาจังหวะใส่ได้แต่ละครั้งเป็นนาทีเลยครับ ยังจับจังหวะไม่ได้ ไม่ลงล๊อก ใช้มา 1 สัปดาห์พอจับหลักได้ตอนนี้ใส่มือเดียวได้ละ คือพอเราจับตำแหน่งถูกหูฟังมันจะ ฟลอบ ! เข้าหูพอดี แล้วความดันในหูมันจะดูดหูฟังเข้าไปซิลจนสนิทเองครับ

พอใส่สนิทแล้วทีนี้เหมือนหลุดไปอีกโลกเลยครับ มันบลอกเสียงข้างนอกหมดเลยครับ ถ้าใส่เดินข้ามถนนไม่ดูทางดีๆ อาจจะโดนรถชนได้เลยครับ ผมลองใส่นั่งรถเมล์สาย8 อืมเงียบสนิทครับ จะมีเสียงเล็ดรอดเข้ามาบ้างช่วงที่เปลี่ยนเพลงแล้วคนขับเบิ้ลเครื่อง แต่ถ้าเพลงกำลังเล่นอยู่เสียงอื่นๆจะไม่ได้ยินเลย

ลองใส่เดินแถวสยามทั้งสยามสแควร์ สยามดิส พารากอนเดินยาวไปยัน CTWถ้าหลับตาก็เหมือนเดินอยู่ในห้างคนเดียวเลยครับ ถือได้ว่าใส่ได้สบายหูมากๆ สบายจนเหมือนไม่ได้ใส่เลยครับรวมถึงกันเสียงได้ดีสุดๆ

นอกจากนี้ผมยังลองเอาไปใช้เล่นเกมพวก music gameอย่าง rockband ด้วยใช้แล้วรู้สึกยังกะเป็นนักกีตาร์บนเวทีครับสนุกมาก เสียงก็โฟกัสได้แม่นจับจังหวะได้ง่ายขึ้นมาก

ไปต่อกันที่เรื่องเสียงบ้าง ตอนที่เริ่มจะพิมพ์ entry นี้ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากในการอธิบายเสียงของรุ่นนี้คือถ้าบอกง่ายๆแค่ว่าเสียงดี ดีกว่าหูแบบ universal iem เกือบทุกรุ่นมันก็ง่ายไปหน่อย 

ด้านเสียง
วันแรกที่ได้หูฟังมาตอนฟังครั้งแรกสุดเลยความรู้สึกตอนนั้นคือเสียงเบสครับตูมมาเลย ตอนนั้นแอบตกใจและแปลกใจนิดหน่อยเพราะที่เคยอ่านคห.บางคนมาบอกว่า ตัวนี้เบสมันจะบางๆ ผมก็จับมันเบิร์นไป ฟังไปและนั่งอ่านข้อมูลไปด้วย ก็พอจะทราบว่าพื้นเพจากหูฟังเดิมมันก็ส่งผลมาในการฟังเจ้า jh5 ตัวนี้ด้วย อย่างผมเองก่อนหน้านี้ฟัง tf.10 ที่เด่นด้านเสียงสูงมาฟังก็จะรู้สึกว่าเบสมันเยอะๆ ส่วนเรื่องเบสบางนั้นเป็นเพราะเอาไปเทียบกับ  JH16 นั่นเอง

อ่อ ลืมเรื่องเบิร์นไปตัวผมเองไม่มีไฟล์เบิร์น ได้แต่ใช้วิธีเปิดเพลงหลายๆแนวแทนก็จะทำให้ใช้เวลา 200+ ชม.กว่าหูฟังจะเข้าที่ตอนที่เขียนบลอกนี้อยู่ก็ยังถือว่าเบิร์นไม่จบนะครับ เพลงใช้เบิร์นคร่าวๆก็ของ
Michael Jackson, Whitney Houston, Mariah Carey, Gun N 'Roses, Van Halen, The Beatles, Beegees, The Carpenters, AKB48, Arashi, Exile, Dreams Come True, Mr. Children, Southern All Stars

กลับมาที่เรื่องเสียงจากที่ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นหูเน้นเบส ทว่าพอมาได้ตั้งใจฟังจริงๆจังๆ พบว่าเสียงมันเด่นไปทุกย่าน คือ สูงกลางต่ำมันออกมาเท่าๆกัน จะเรียกว่าเสียงมันออกมา balance มากๆ

เสียงเบสเป็นเบสที่ฟังสนุกเลยครับ แน่น กระแทก แต่ไม่อึดอัดเป็นเบสที่ทำให้กระดิกเท้าตามไปด้วยเวลาได้ยิน ฟังเพลงของไมเคิล แจ็กสันอย่าง Billie Jean แล้วอยากจะออกมาเต้นมูนวอล์กทันที 

เสียงกลางอันนี้อธิบายยาก มันมาเต็มๆแน่นๆ เสียงร้องชัด เวลาฟังพวกเพลงเน้นเสียงร้องจะรู้สึกได้ครับ
คาแรกเตอร์เสียงคนร้องมันออกมาชัดอะครับ เสียงร้องเหมือนออกมาจากปอดจากกระบังลมเต็มๆเลย เอามาฟังเพลงของ Beegees เสียงของพี่น้องกิ๊บนี่โดดเด่นมากหรือตอนฟัง TSUNAMI เสียงของลุงคุวาตะ ก็เคลิ้มดีครับ

เสียงสูงช่วงแรกที่ได้มาผมฟังแต่เพลงเน้นเบส พอมาได้ฟังเพลงที่เน้นเสียงสูงก็โอว มันลากเสียงสูงไปได้ไกลดีครับ ไกลกว่า TF.10 อีกฟัง without you ของ Mariah Carey ท่อนที่เจ๊แกลากเสียงสูงตรง can't live นี่ยังกะไปนั่งฟังในเมดิสันสแควร์การ์เด้นสูงได้ใจมากฮะหรือจะเป็น I will always love you เสียงท่อน love you นี่แทบจะทำขาดใจครับ สูงใสแต่ไม่บาด โปร่ง

ด้านรายละเอียด, และซาวด์สเตจ แยกรายละเอียดได้ดีทั้งๆที่มี 2 ไดร์เวอร์สมัยฟัง TF.10 ก็ว่ามันขุดรายละเอียดในเพลงมาหมดแล้วเจอเจ้า jh5 มันยังขุดออกมาได้อีก ด้านเวทีเสียงมีทั้งด้านกว่้างและด้านลึกฟังแล้วไม่อึดอัด image เสียงเครื่องดนตรีชัดมากโฟกัสเสียงต่างๆได้เด่นเลยครับเสียงต่ำแยกขาดระหว่างกลองกับกีตาร์เบส รวมถึงเสียงตอนฟาดสแนร์หรือเสียงไฮแฮทมาครบๆเลย เสียงพวกเครื่องสายนี่ยังกะกรีดสายข้างๆหู เสียงเป่าก็ยังทำได้ดี โดยที่ทั้งหมดไม่ได้ไปกวนเสียงร้องเลย 

เรื่องรายละเอียดที่ผมชอบอีกอย่างตรงเสียงคอรัส บางเพลงนี่ยัง งงว่าเฮ้ยท่อนนี้มันมีคอรัสด้วยเหรอแล้วก็พวกคอรัสในเพลงเวลาร้องอย่าง ฮูวห์~ หรือ ฮาห์~ นี่ลากไปได้ไกลถึงใจมาก รวมถึงการแยกเสียงซ้ายขวาเด็ดขาดดี 

แล้ว JH5 เหมาะกับเพลงแนวไหนดีละ ผมว่ามันเหมาะกับทุกแนวเลยนะทั้ง rock pop jazz hiphop r&bอาจจะเพราะเสียงมันบาลานซ์ไม่ได้หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง และได้ประโยชน์จากการเป็นคัสตอมทำให้กันเสียงภายนอกดีมาก จนทำให้ได้รายละเอียดในเพลงเด่นขึ้นมา อย่างผมเองได้มาผมก็เอามาฟังดะทุกแนว ฟัง Queen ก็มันและเห็นภาพหนวดของเฟร็ดดี้ เมอร์คิวรี่กระดิก และผมยังเอามาฟังเพลงที่ต่างกันมากๆอย่าง Akai sweet pea ของมัตซึโกะ เซย์ดะ ก็รู้สึกหวานเคลิ้มจนอยากกินถั่วแดงเลย

นอกจากนี้ผมว่ามันให้อารมณ์ความเป็นดนตรีดีมากๆครับคือจมไปกับอารมณ์ของเพลงฟังมิสเตอร์ของKARAก็สนุกจนอยากลุกออกมาเต้นส่ายก้นทีเดียว พอมาฟังYuki no hana ของ Mika Nakashima ก็เศร้าน้ำตาแทบเล็ดทีเดียว หรือฟัง Jame Taylor& Carole King Live@Troubadour ความรู้สึกยังกับได้ไปนั่งฟังในคาเฟ่ตอนแสดงสด

อ่านๆมาอาจจะสงสัยกันนะครับว่ามันดีจนไม่มีข้อติเลยเหรอ ไม่หรอกครับทุกอย่างมันก็มีทั้งด้านดีและไม่ดี ข้อด้อยของมันอย่างแรกก็คือ ราคาครับ สำหรับหูฟังราคาเฉียด 2 หมื่นตัวนิดเดียวนี่กว่าจะได้พิมพ์หูก็คิดหนักและหาข้อมูลเยอะทีเดียวครับแถมถ้าไม่ถูกใจขายต่อก็ขาดทุนบานเลย

ต่อมาก็ระยะเวลาในการรอครับ 8 สัปดาห์ที่ผมรอก็ทรมานดีครับ บางคนก็ไม่ชอบรออาจจะหันไปหา UIEM ตัวทอปๆแทนจ่ายเงินได้ของเลย และอีกอย่างคือมันเป็นคัสตอมของเราคนเดียวดังนั้นเราจึงแบ่งให้คนอื่นฟังไม่ได้ครับ ถึงยัดหูไปได้เสียงก็ออกมาไม่เหมือนที่เจ้าของหุได้ฟัง เสียงจากเดโมมันก็ยังห่างจากหูตัวจริงอยู่เยอะด้วย

เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากครับเวลาเราได้ฟังเสียงดีๆแล้วอยากแบ่งให้คนอื่นได้ยินแต่ให้เค้าฟังไม่ได้ต้องอธิบายด้วยปาก จะบรรยายสรรพคุณเว่อร์เกินก็กลัวจะบรรยายน้อยๆก็ไม่รายละเอียด
อีกอย่างคือด้วยความที่มันให้รายละเอียดดีพวกเพลงที่อัดหรือริปมาห่วยๆมันก็โชว์ความห่วยออกมาด้วยครับ

นอกจากนี้พวกเพลงคลาสสิคที่เสียงสูงลากไปไกลมากๆๆ เสียงสูงแอบมีแตกครับ แต่ส่วนตัวผมว่าถ้าจะให้ได้เสียงสูงระดับนั้นคงต้องเลื่อนไปรุ่นสูงขึ้นอย่าง ES5, JH13 หรือ JH16
สรุป

  • ฟังเพลงได้มัน สนุก เข้าถึงอารมณ์เพลง
  • โฟกัสเสียงแม่น แยกรายละเอียดดี ทั้งเสียงเครื่องเคาะ เครื่องสายหรือเครื่องเป่า
  • ใส่สบาย กันเสียงดีสุดๆ
  • ฟังแล้วจะมีอาการติดหูไม่ค่อยอยากทำอย่างอื่น จะเกิดอาการขอฟังอีกเพลงไปเรื่อยๆ
  • ราคาสูง แต่ราคาขายต่อตก กราวรูด
  • เสียงตัวจริงดีกว่าตัวเดโมอีก 20-50 เปอร์เซนต์ขึ้นอยู่กับว่าใส่เดโมได้สนิทขนาดไหน
  • บางช่วงของปีต้องรอนานเป็นพิเศษ(ช่วงปลายปีประมาณคริสมาสต์)
ส่วนตัวผมคงจบชุดพกพาที่ตัวนี้ละครับนอกจากถูกหวยอาจจะมีขยับขึ้นไปรุ่นใหญ่เฉพาะทางอย่าง ES5 หรือ JH13
ภาคผนวก
แล้วจะทำหูฟังคัสตอมดีไหม ?
อืม ตอบยากนะครับถ้าเคยใช้และผ่านหูฟังอินเอียร์มาระดับนึง ผมว่าการไปจบที่คัสตอมก็ดีครับ แต่สำหรับมือใหม่ที่ไม่อยากเสียเวลาอยากซื้อตัวเดียวจบๆเลย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ซื้อหูแบบยูนิเวอร์แซลมาฟังซักตัวนึงก่อนสัก 3-6 เดือนพัฒนาการฟังก่อน พอให้รู้ว่าเสียงที่ดีมันเป็นยังไง 
หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาก่อนทำ ciem ก็นั่งลองให้นานๆเลยครับลองพวก  uiem ตัวทอปๆให้หมดแล้วค่อยมาลองคัสตอมไปแบบไล่รุ่น เสียงคัสตอมฟังจากเดโมฟังแรกๆมันจะติดหูครับ แต่จะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบต้องใช้เวลาฟังสักพักใหญ่ๆ บางคนฟังครั้งแรกชอบติดหูทำเลย แต่พอรอนานๆเกิน 4 สัปดาห์ความเห่อ ความอยากได้หมด ได้มาก็เอามาปล่อยเสียดายเงินแทนครับ
แล้วก็หูแบบอินเอียร์เวลาใส่แน่นๆมันมีผลกับความดันในหูคนที่ไม่ชินอาจจะอึดอัดทำให้ใส่ได้ไม่นาน ซื้อมาแล้วอาจจะไม่คุ้มได้ครับแต่ถ้าลองแล้วชอบจริง ถูกใจ งบถึงก็ลุยได้เลยครับ

หูคัสตอมกับฟูลไซส์อะไรดีกว่ากัน
มันเทียบกันยากครับในคลาสเดียวกันฟูลไซส์จะให้เสียงดีกว่า เช่น ATH 3000anv กับ JH16 สองตัวนี้ถ้าต่อแบบจัดเต็ม 3000ANVทิ้งห่าง 16 แบบไม่เห็นฝุ่น แต่ถ้าในการใช้งานแบบพกพาเราคงแบกเพลเยอร์กับแอมป์ไปช่วยฟูลไซส์ได้ลำบากแบบนี้อินเอียร์ก็ได้เปรียบ อย่าง JH5 กับ HD600 ถ้าเอามาต่อตรงกับไอพอดทั้งคู่ แบบนี้ฟูลไซส์อย่าง 600 ก็กด jh5 ไม่ลงเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าจะเลือกผมอยากให้ดูการใช้งานก่อนครับว่าเอามาใช้แบบไหน พกพาหรืออยู่กับที่ ต่อกับไอพอดหรือจัดชุดใหญ่เพลเยอร์+แอมป์+สาย แล้วจะเลือกหูได้ตรงกับความต้องการมากกว่า
โดยส่วนตัวผมชอบใช้อินเอียร์เพราะแค่ต่อตรงมันก็เสียงดีแล้วยิ่งเป็นคัสตอมมันก็น้องๆพกฟูลไซส์แถมได้ความสะดวก แต่ถ้าในอนาคตงบถึงๆผมก็ยังอยากได้ ATH 3000anv มาฟังที่บ้านอีกชุดครับตัวนี้ผมให้เป็นมหาเทพเลย

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

e3c ขาวใส เบสบางๆ

หลังจากเขียนถึงง ex71 ไปแล้วก็ว่าจะเอาเจ้านี่มาเล่าให้ฟังต่อแต่ด้วยความขี้เกียจเลยดองๆไว้และโดนแซงไปโดยการแนะนำ jh5 คราวนี้ก็ขอย้อนกลับมาที่หูที่น่าจะเรียกได้ว่าอยู่ด้านตรงข้ามของ ex71 ก็ว่าได้ นั่นก็คือ SHURE E3C
มี 2 สีขาวกับดำขอเอารุ่นสีขาวมาลงให้ดูครับ

หูรุ่นนี้ถือว่าเป็นหูราคาเกิน 5 พัน หูแรกที่ผมได้ฟังตอนได้มาใหม่ๆนี่มือสั่นเลยนะครับ คิดในใจว่าแม่มราคาโคดสูงเลย จะหยิบมาใช้แต่ละทีนี่ทนุถนอมสุดๆครับ เลิกใช้ก็พันเก็บในกล่องอย่างดี สายนี้คอยหาผ้าเช็ดตลอดเวลา
รุ่นนี้มี 2 สีครับ ขาวและดำ ของที่ผมใช้เป็นสีขาวแบบในรูปอุปกรณ์ให้มาเยอะจน งง เลยครับ กล่องเก็บที่ดูกันการกระแทกได้ดีกว่าถุงผ้าธรรมดาๆของex71 จุกยางใส 3ขนาด จุกยางทึบ 3ขนาด จุกโฟม 1คู่และที่แคะขี้หูครับ ครั้งแรกนี่กว่าจะหาจุกที่ลงตัวได้ก็กินเวลาไปร่วมๆ 1 ชม.ได้ครับ

หูรุ่นนี้เป็นแบบสายท่อนเดียวยาวๆนะครับ ไม่มีสายต่อตัวสายหูฟังหนามาก ดูคงทนแข็งแรงดีครับ
เรื่องจุก จุกแบบใสกับทึบเสียงแทบจะไม่ต่างกัน จุกใสใส่ได้แน่นกว่า จุกทึบใส่สบายกว่าแต่ก็หลุดง่ายกว่า ส่วนจุกโฟมนั้นใส่สบายที่สุดแต่ก็ให้เสียงที่ drop ลงสุดเช่นกัน

การใส่ก็ใส่แบบคล้องหูถ้าไม่เคยใส่แรกๆจะใส่ยากสักนิดเพราะสายมันใหญ่ ต้องค่อยๆดัดตรงส่วนที่คล้องหูให้พอดีกับหูเรา และด้วยความที่สายมันใหญ่เวลาม้วนเก็บ พอเอาออกมาใช้ก็ต้องรอสักนิดกว่าสายจะคืนตัวตรง

เรื่องเสียงฟังปุ๊บ เฮ้ยเบสไปไหนวะ ยิ่งตอนนั้นพึ่งเปลี่ยนมาจาก ex71 ด้วยนึกว่าเบสหายเลยละ แต่พอได้ใช้ไปสักพัก ปรับตัวปรับหูรวมถึงวิธีใส่ก็โอเค เสียงเบสมาละ แต่ถ้าเทียบกับทั่วๆไป ก็ถือว่าเบสบางละ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบบริโภคเบส 3 เวลาหลังอาหาร ผมว่าเสียงเบสมาทางเดียวกับ UE Super Fi.3 studio คือมาลูกเล็กๆ มาไวไปไวเก็บตัวเร็ว มีแค่ให้พอรู้ว่า นี่เสียงเบสนะ อ่อแต่ถ้าเทียบคุณภาพเบสดีกว่า ex71 นะครับ คือไม่ฟุ้ง ไม่เบลอ เสียแต่ที่ลูกเล็กอิมแพคน้อยแค่นั้นเอง

เสียงกลางก็กลางจริงๆครับคือมาแบบเรื่อยๆเลยนักร้องร้องยังไงมายังงั้น ไม่มีหวาน ไม่มีความพริ้วคือมอนิเตอร์สุดๆ ร้องดีไม่ดี ออกเสียงชัดไม่ชัดก็ฟ้องกันตรงๆ เสียงสูงนี่แยกแยะรายละเอียดดีครับ ไม่พริ้วมากแต่ฟังสบายหูดี

รวมๆคือเด่นเรื่องรายละเอียดเสียง แยกเสียงชัดเจน เบสบางไปนิด เสียงออกแนวจืดชืดมากๆ จืดเหมือนแกงจืดเลย ใส่ฟังเพลงนี่ไม่สนุกเลยครับ ฟังเอาผ่อนคลายพอได้ เหมาะกับเอาไปใส่ร้องเพลงบนเวทีมากกว่าไว้ฟังเสียงตัวเอง ฟังเสียงรายละเอียดดนตรีแบคกิ้งแทรค แบบที่ ทาคาฮิโระวง exile ใช้ตอนออดิชั่นเข้าวงนั่นละเข้าท่าเลย

ปัญหาของรุ่นนี้ที่ผมเจอคือสายแข็งซึ่งคงเป็นปกติของหูฟังทั่วๆไปมั้ง แต่อีกอันที่เจอนี่คิดว่าอาจจะเป็น defect คือตัวบอดี้หักครับตรงท่อนำเสียง หักตอนกำลังใส่เข้าหูเลย
อันนี้หูคนอื่นครับ แต่หักแบบเดียว ข้างเดียวกับของผมเลย

ตอนแรกผมก็ซ่อมเองโดยใช้กาวช้าง ก็ทนใช้มาได้อีกหลายเดือนแล้วมันก็หักอีก พอมาเขียนบลอกนี้ลองเสิร์ชรูปดูก็เจอหูของฝรั่งหักแบบเดียวกัีนเลย ของผมนี่ใช้มาเกือบ 2 ปีก็หักแล้วครับ หักแบบนี้เคลมประกันไม่ได้ด้วย :(

แต่ถ้าใครพึ่งเริ่มเล่นเจอหูตัวนี้ในราคาล้างสตอค(ไม่เกิน 2 พัน)ผมก็ว่ายังน่าสนใจครับเพราะกว่ามันจะหักคงเกิน 1 ปีเอามาฟังรายละเอียดแนวเสียงต่างๆโดยเฉพาะเสียงสูง พัฒนาหูก่อนจะไต่ไปรุ่นสูงๆทีหลัง







วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เมื่อผม(คิด)ไปทำ JH5 pro



Entry นี้มาพร้อมกับความเห่อของใหม่ครับ นั่นก็คือ CIEM (Custom In-Ear Moniters)หรือหูฟังแบบคัสตอมนั่นเองครับ จริงๆยังมีพวกหูเก่าๆที่พิมพ์คาไว้อยู่แต่ขอดองไปก่อนขอลัดเอาเรื่องหูฟังตัวใหม่ตัวนี้มาเล่าให้ฟังกันก่อน

ตอนแรกว่าจะรีวิวเรื่องเสียงแต่ว่ามันยังไม่พ้นเบิร์นเลย คงเล่าเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปก่อนละกันครับ แรกเริ่มไม่เคยคิดว่าจะมาจบที่หูฟังคัสตอมหรอกครับผมเองกะว่าแค่ หูอินเอียร์ตัว top อย่าง TF.10 ก็คงพอแล้ว ถึงแม้วันที่ผมไปซื้อ TF.10 คนขายจะทักว่าระวังจะไปโดนคัสตอมนะก็ตามที ถามว่าผมชอบไหม TF.10 
ผมชอบนะชอบเสียงมันมากเลยสูงระยิบระยับ สเตจกว้าง ใสกิ้ง แต่...แต่มันใส่ยากชิบเลยครับใส่ไม่พอดีโฟกัสผิดนี่เสียงก็เห่ยบรม เบสจม เวทีหด พยายามลองหาวิธีใส่ เปลี่ยนจุกนู่นนี่นั่นก็ยังแก้ปัญหาได้ไม่ดีเท่าไหร่

ก็พยายามทนๆใช้มาครับ ใช้สมาธิตอนใส่นิดนึงให้ได้โฟกัสแล้วพยายามไม่ถอดบ่อยๆ แต่หลังๆเริ่มรำคาญก็ลองมองๆหาหูฟังตัวอื่นในระดับเดียวกันมาใช้แทนทั้ง shure se535 ,westone w3 ,w4r และ um3x ซึ่งทั้งหมดที่บอกมาใส่สบายแต่แนวเสียงยังไม่โดน

ลองกลับมานึกดูปัญหาว่าทำไมผมใส่ยากกว่าปกติก็พบว่ารูหู 2 ข้างมันไม่เท่ากัน วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือพิมพ์หูทำคัสตอม T^T ก็ทนๆใช้ tf.10 ในสภาพใส่แบบหาโฟกัสยากๆพร้อมกับหาข้อมูลเรื่องหูคัสตอมไปด้วยว่ามียี่ห้อไหนบ้าง รุ่นไหนดี ตอนนั้นที่คิดในใจก็มี JH5 JH13 ES5 1964 4รุ่น 3 ยี่ห้อ พอหาข้อมูลแล้วก็ต้องลองฟัง แต่ผมไม่ได้ไปลอง 1964 นะลองแค่ 3 ตัวที่เหลือ

ซึ่งบทสรุปมาจบที่ JH5 เพราะมันถูกที่สุด เพราะเงินมีแค่นั้น ซึ่งก็ถือว่าดีเพราะ ระหว่าง jh13 กับ es5 2 ตัวนี้ตัดสินใจยากมากสูสีกันเหลือเกิน พองบไม่ถึงก็ไม่ต้องเลือก(ปลอบใจตัวเองกันไป)

สีกล่องหวานสดใสดั่งกล่องขนม

พอเลือกรุ่นได้ก็กลับมานั่งหารีวิว ข้อมูลนู่นนี่นั่นอ่านเพิ่มอีก เพราะหูคัสตอมนี่ตัดสินใจผิดเหมือนเงินหายไปเป็นหมื่นเลยทีเดียว หลังจากย้อนไปลองฟังและนั่งอ่านรีวิวซ้ำอีก 10 รอบก็ถึงเวลาตัดสินใจทำสักที วันที่ไปพิมพ์หูผมก็ยังลองฟัง JH5 เทียบกับ W4r UM3x อีกรอบตอนนั้นเทียบจริงๆหูเดโม jh5 ยังหนี 4r ได้ไม่เยอะแถมเสียงบางด้านยังแพ้ด้วย แต่ผมก็ตัดสินใจ เอาวะพิมพ์หูให้จบๆกันไป ไม่ต้องโลเล

ตอนพิมพ์หูนี่ออกจะเกร็งๆนิดหน่อย เพราะพึ่งหายหวัดไม่รู้ว่ารูหูมันจะขยายหรือหดตัวรึเปล่ากลัวนู่นนี่นั่นแล้วก็โดนฉีดซิลิโคนเข้าหูครับมันจะอื้อๆเต็มๆในรูหูเหมือนโดนดินน้ำมันอัดเข้ามาในหูเลยแน่นๆ คับๆ ต้องอ้าปากตอนฉีดซิลิโคนไว้ด้วย ทำข้างซ้ายเสร็จพัก 5นาทีก็มาทำข้างขวาต่อก็เหมือนเดิมฉีดซิลิโคนเข้าหูแน่นๆ เสียดายว่าลืมถ่ายรูปพิมพ์หูของตัวเองไว้

พิมพ์หูเสร็จก็มาเปิดออเดอร์ครับเลือกรุ่นเลือกสี shell เลือกสี faceplate สายซึ่งขนาดผมลองทำมาแล้วในเวบของ JH Audio แต่พอถึงเวลาทำจริงๆนี่ก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันครับสีเยอะทั้งแบบทึบ แบบใสและแบบ blacklight ตรง faceplate เลือกลายได้และเลือกพื้นผิวได้จะลายไม้ ไทเทเนียม ลายผ้า ติดglitter ก็ได้เยอะแยะครับ แต่ผมเลือกลายฟรีที่ jh มีให้(งกนั่นเอง) เลือกชื่อที่จะให้พิมพ์บนกล่อง
แบบหูฟังที่ผมลองทำในเวบ JHAUDIO

หลังจากนี้ก็รอครับรออย่างเดียว อ่อผมพึ่งมานึกได้ว่าสีตอนเลือกที่ร้านมันคนละสีกับตอนที่ผมลองทำ ตอนลองทำผมเลือกสี  Knuckle Red แต่ในออเดอร์เป็น Red Eye Red อันนี้ผมผิดเองที่จำชื่อเฉดสีไม่ได้ ระหว่างรอก็ยังวนเวียนกลับไปอ่านพวกรีวิวอยู่เรื่อยๆนะครับ พร้อมแอบกังวลว่ามันจะฟิตพอดีหูไหม แล้วถ้าเสียงไม่ดีอย่างที่หวังละ นู่นนี่นั่น เรียกง่ายๆว่าเกือบฟุ้งซ่านครับ

ช่วงเดือนแรกยังไม่เท่าไหร่เพราะเรารู้ว่าออเดอร์เยอะ ไม่ได้ภายในเดือนแรกแน่ๆแต่พอใกล้ๆครบกำหนด 8-9 สัปดาห์ยิ่งกระสับกระส่ายครับว่าของจะมาเมื่อไหร่ว้า กอปรกับช่วงนั้น tf.10 คู่บุญสายหูฟังขาดในด้วยเลยไม่มีหูฟังเลย หลายๆคนก็ให้กำลังใจครับว่าคุ้มค่าการรอ เสียงตัวจริงดีกว่าเดโมอีกเยอะ ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่ออะครับ อารมณ์แค่มันมาฟิตพอดีหูก็พอใจแล้วอยากฟังเต็มแก่

พอถึงกำหนดส่งจริงๆก็ตรงกับช่วงอีสเตอร์วันหยุดยาวของฝรั่งอีกก็รอเพิ่มไปอีก 1 สัปดาห์ตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่ารอนานจนเผลอคาดหวังว่าเสียงมันต้องดี หรือนานจนเลิกคาดหวัง

พอถึงวันรับหูฟังจริงๆตื่นเต้นครับ ก็ให้ที่ร้านลองสอนการใส่ สอบถามเรื่องการดูแลรักษาก็เหมือนกับหูฟังทั่วๆไปไม่มีอะไรพิเศษ ตอนนั้นก็พอใจแล้วครับเพราะลองที่ร้านแล้วมันใส่ได้ฟิตพอดีหูไม่ต้องส่งไปรีฟิต อ่อ ตอนใส่ที่ร้านทำให้ผมรู้อีกอย่างว่านอกจากรูหูผมจะไม่เท่ากันแล้ว รูหูข้างซ้ายยังเอียงอีกด้วย มิน่าทำไมมันถึงได้ใส่ TF.10 ยากเป็นพิเศษ 

พอออกมานอกร้านก็ได้เวลาทดสอบการใช้งานจริงทันที จับสาวน้อย flying girl ใส่หูทันที ผลปรากฎว่าใส่ไม่เข้าครับ เฮ้ย เอาใหม่ใจเย็นๆ ค่อยๆหมุน หามุมเล็งดีๆ กว่าจะใส่ได้ 2 ข้างล่อไป 5 นาที+ได้ แอบนึกในใจว่าแม่ง ใส่ยากวะ แต่พอใส่ได้พอดีแล้วมัน block เสียงรอบด้านออกไปหมดเลยครับยังกะอยู่ในห้องปิดตาย ขนาดอยู่ริมถนนสุขุมวิทตอนเย็นๆที่การจราจรพลุกพล่าน อาจจะมีเสียงรถเมล์ตอนเบิ้ลเครื่องเล็ดรอดเข้ามาบ้าง แต่ถ้าตอนเปิดเพลงนี่ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลยครับ 

หูตัวจริงลองเทียบกับแบบข้างบนดูครับ

มาทางด้านตัวชิ้นงานผมเองไม่เคยมีหูคัสตอมแต่ดูแล้วก็เรียบร้อยดีครับ หูฟังมาในกล่อง otterbox ที่เปิดยากมากสอดมาในแจคเกตกระดาษสีหวานแหวพร้อมคู่มือ เปิดกล่องตัวหูฟังมาในถุงกำมะหยี่พร้อมที่เขี่ยขี้หู 1 อันตัวหูฟังดูเงาๆลื่นๆ รวมๆแล้วผมพอใจนะครับถ้าจะติก็คงเป็นหูซ้ายผมเลือกเป็นชื่อรุ่น หูขวาเป็นชื่อยี่ห้อ แต่ตัวจริงกลับเป็นชื่อยี่ห้อทั้ง 2 ข้าง
รวมๆแล้วก็โอเคครับถ้าให้คะแนนผมให้ 9.5/10  

ป.ล.
ตอนนี้ใส่คล่องแล้วครับหมุนนิดเดียว ฟลอบเข้าหูพอดี
เรื่องเสียงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าผมเห่อไปเองรึเปล่าว่าเสียงมันดี เลยขอเวลาอีกสักพักคงได้เขียนเฉพาะเรื่องเสียงรวมถึงให้เวลาเบิร์นหูด้วย ถ้าจะบอกเรื่องเสียงคร่าวๆตอนนี้คือตัวจริงกับเดโมต่างกันมาก 30-60 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวและเสียงมันกินเรียบ หูยูนิเวอร์แซลเกือบทุกตัวเลย สูงแบบ tf.10 กลางแบบse535  และกลองมันๆแบบum3x รวมถึงสเตจมาทั้งกว้างและลึก