วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Jennifer Warnes, The Hunter มีค่าเกินกว่าแค่ใช้เบิร์นเสียง

Jennifer Warnes ชื่อนี้ผมรู้จักครั้งแรกก็ตอนที่ได้ไปลองหูฟังที่ร้าน jetlive ตอนนั้นฟังปุบถึงกับตกอยู่ในภวังค์เลยครับเพลงที่ฟังคือ true emotion ฟังแล้วจมดิ่งลงไปในบทเพลงเลยทีเดียวเสียงร้องเสียงกลองเครื่องเคาะเข้ากันไปหมด หลังจากนั้นกลับมาบ้านก็มาเสิร์ชหาข้อมูลเลยครับ

ซึ่งก็มารู้ว่าจริงๆผมเคยฟังเพลงของเธอมาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจชื่อนักร้อง เพลงนั้นก็คือ up where we belong ที่เจนนิเฟอร์ร้องคู่กับ Joe cocker เพลงประกอบหนังเรื่อง An Officer and a Gentleman ตอนนี้ก็เริ่มไม่แปลกใจละว่าทำไมเสียงร้องถึงเด่นนัก ก็หาต่อไปจนรู้ว่าเพลง true emotion นั้นอยู่ในอัลบั้ม The Hunter นั่นเอง

พออ่านต่อไปก็รู้ว่าอัลบั้มนี้ออกมาเมื่อปี 1992 ก็ 20 ปีได้แล้วและนักเล่นเครื่องเสียงในไทยส่วนใหญ่ก็นิยมใช้เป็นแผ่นเบิร์นเครื่องเสียงรวมถึงหูฟังด้วย เพราะว่าเป็น 1 ในอัลบั้มที่ถือว่าอัดเสียงมาได้ดีมาก ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าเราฟังเพลงนี้ช้าไปถึง 20 ปีเลยทีเดียว พอฟังมาเรื่อยๆผมก็รู้สึกได้ว่าอัลบั้มนี้มีคุณค่ามากเกินกว่าจะเอามาเปิดเบิร์นเฉยๆโดยไม่ได้ฟัง เลยอยากเอามาเขียนบลอกแนะนำนี่แหละครับ

สำหรับคนที่ฟังมาบ่อยแล้วก็ข้ามไปเลยก็ได้นะครับผมเอาความรู้สึกมาเล่าให้คนที่ยังไม่เคยฟังอัลบั้มนี้เผื่อจะมีคนสนใจหามางานดีๆแบบนี้ฟังกันเพิ่ม

อัลบั้มนี้มี 10 เพลงเรียงเพลงได้อารมณ์เหงาแบบอยู่ตัวคนเดียวแต่ก็แฝงไว้ด้วยความกล้าที่จะเผชิญโลกฟังแล้วทั้งเหงาเศร้าขณะเดียวกันก็มีพลังที่จะสู้ต่อ เพลงแรกของอัลบั้ม rock you gently นี่ผมว่าเป็นตัวแทนความหมายของทั้งอัลบั้มได้เลยคือเพลงจะค่อยๆ  rock คนฟังไปแบบ gently เรื่อยๆจนจบอัลบั้มเลย

เพลงที่ผมชอบมากๆในอัลบั้มก็คือเพลง

  • Rock you gently 
  • Somewhere Somebody 2 เพลงแรกนี้ฟังพวกเบสกับพวกเครื่องเคาะแล้วก็ผมชอบเนื้อหาของทั้ง 2 เพลงด้วย
  • Big Noise New york ชอบเสียงเป่าแซ็กช่วงท้ายเพลงมาก
  • True emotion ฟังแล้วรู้สึกตกอยู่ในภวังค์จมอยู่กับอารมณ์ตัวเองจริงๆ
  • Whole of the moon เนื้อเพลงชวนให้ออกไปเผชิญโลกกว้างจริงๆครับ
  • Light of louisanne เสียงนกในสวนในไร่ตอนต้นกับท้ายเพลงฟังแล้วยังกะอยู่แถวชนบท
  • Way down deep เพลงนี้ deep bass ลึกลงสุดใจจริงๆครับ
          แต่เวลาฟังจริงๆฟังไล่ไปทั้ง 10 เพลงจะเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่า ถ้าใครมีโอกาสเจอแผ่นนี้ก็ขอแนะนำให้ซื้อหาเก็บไว้นะครับ ตัวผมเองได้มีโอกาสฟังครั้งที่ 2 ในงานไทย can join#2 ที่เป็นงานแบบ 24 บิทนี่ฟังแล้วอยากจะซื้อเครื่องเล่นแบบที่เล่นไฟล์ 24 บิทมาได้เลยทีเดียวครับ

          วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

          เมื่อผมได้ฟัง JH5 pro(รีวิวเสียงและการใช้งาน)

          เป็น entry ต่อเนื่องจาก http://goo.gl/tjA59  โดยคราวนี้จะเล่าเกี่ยวกับการใช้งานและก็เรื่องแนวเสียงครับ อาจจะอธิบายเข้าใจยาก ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยล่วงหน้าก่อนเลยครับ

          ด้านการใช้งาน
          เอาเรื่องการใช้งานจริงก่อนละกันวิธีใส่มันก็คือการหมุนครับ ถือหูฟังเอียงไปด้านหน้า1/4 จิ้มใส่หูแล้วหมุนกลับมาด้านหลังเข้ารูหูพอดี ส่วนการถอดก็ทำตรงข้ามกันครับ ฟังดูง่ายๆแต่ได้มาช่วง 3 วันแรกกว่าผมจะหาจังหวะใส่ได้แต่ละครั้งเป็นนาทีเลยครับ ยังจับจังหวะไม่ได้ ไม่ลงล๊อก ใช้มา 1 สัปดาห์พอจับหลักได้ตอนนี้ใส่มือเดียวได้ละ คือพอเราจับตำแหน่งถูกหูฟังมันจะ ฟลอบ ! เข้าหูพอดี แล้วความดันในหูมันจะดูดหูฟังเข้าไปซิลจนสนิทเองครับ

          พอใส่สนิทแล้วทีนี้เหมือนหลุดไปอีกโลกเลยครับ มันบลอกเสียงข้างนอกหมดเลยครับ ถ้าใส่เดินข้ามถนนไม่ดูทางดีๆ อาจจะโดนรถชนได้เลยครับ ผมลองใส่นั่งรถเมล์สาย8 อืมเงียบสนิทครับ จะมีเสียงเล็ดรอดเข้ามาบ้างช่วงที่เปลี่ยนเพลงแล้วคนขับเบิ้ลเครื่อง แต่ถ้าเพลงกำลังเล่นอยู่เสียงอื่นๆจะไม่ได้ยินเลย

          ลองใส่เดินแถวสยามทั้งสยามสแควร์ สยามดิส พารากอนเดินยาวไปยัน CTWถ้าหลับตาก็เหมือนเดินอยู่ในห้างคนเดียวเลยครับ ถือได้ว่าใส่ได้สบายหูมากๆ สบายจนเหมือนไม่ได้ใส่เลยครับรวมถึงกันเสียงได้ดีสุดๆ

          นอกจากนี้ผมยังลองเอาไปใช้เล่นเกมพวก music gameอย่าง rockband ด้วยใช้แล้วรู้สึกยังกะเป็นนักกีตาร์บนเวทีครับสนุกมาก เสียงก็โฟกัสได้แม่นจับจังหวะได้ง่ายขึ้นมาก

          ไปต่อกันที่เรื่องเสียงบ้าง ตอนที่เริ่มจะพิมพ์ entry นี้ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากในการอธิบายเสียงของรุ่นนี้คือถ้าบอกง่ายๆแค่ว่าเสียงดี ดีกว่าหูแบบ universal iem เกือบทุกรุ่นมันก็ง่ายไปหน่อย 

          ด้านเสียง
          วันแรกที่ได้หูฟังมาตอนฟังครั้งแรกสุดเลยความรู้สึกตอนนั้นคือเสียงเบสครับตูมมาเลย ตอนนั้นแอบตกใจและแปลกใจนิดหน่อยเพราะที่เคยอ่านคห.บางคนมาบอกว่า ตัวนี้เบสมันจะบางๆ ผมก็จับมันเบิร์นไป ฟังไปและนั่งอ่านข้อมูลไปด้วย ก็พอจะทราบว่าพื้นเพจากหูฟังเดิมมันก็ส่งผลมาในการฟังเจ้า jh5 ตัวนี้ด้วย อย่างผมเองก่อนหน้านี้ฟัง tf.10 ที่เด่นด้านเสียงสูงมาฟังก็จะรู้สึกว่าเบสมันเยอะๆ ส่วนเรื่องเบสบางนั้นเป็นเพราะเอาไปเทียบกับ  JH16 นั่นเอง

          อ่อ ลืมเรื่องเบิร์นไปตัวผมเองไม่มีไฟล์เบิร์น ได้แต่ใช้วิธีเปิดเพลงหลายๆแนวแทนก็จะทำให้ใช้เวลา 200+ ชม.กว่าหูฟังจะเข้าที่ตอนที่เขียนบลอกนี้อยู่ก็ยังถือว่าเบิร์นไม่จบนะครับ เพลงใช้เบิร์นคร่าวๆก็ของ
          Michael Jackson, Whitney Houston, Mariah Carey, Gun N 'Roses, Van Halen, The Beatles, Beegees, The Carpenters, AKB48, Arashi, Exile, Dreams Come True, Mr. Children, Southern All Stars

          กลับมาที่เรื่องเสียงจากที่ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นหูเน้นเบส ทว่าพอมาได้ตั้งใจฟังจริงๆจังๆ พบว่าเสียงมันเด่นไปทุกย่าน คือ สูงกลางต่ำมันออกมาเท่าๆกัน จะเรียกว่าเสียงมันออกมา balance มากๆ

          เสียงเบสเป็นเบสที่ฟังสนุกเลยครับ แน่น กระแทก แต่ไม่อึดอัดเป็นเบสที่ทำให้กระดิกเท้าตามไปด้วยเวลาได้ยิน ฟังเพลงของไมเคิล แจ็กสันอย่าง Billie Jean แล้วอยากจะออกมาเต้นมูนวอล์กทันที 

          เสียงกลางอันนี้อธิบายยาก มันมาเต็มๆแน่นๆ เสียงร้องชัด เวลาฟังพวกเพลงเน้นเสียงร้องจะรู้สึกได้ครับ
          คาแรกเตอร์เสียงคนร้องมันออกมาชัดอะครับ เสียงร้องเหมือนออกมาจากปอดจากกระบังลมเต็มๆเลย เอามาฟังเพลงของ Beegees เสียงของพี่น้องกิ๊บนี่โดดเด่นมากหรือตอนฟัง TSUNAMI เสียงของลุงคุวาตะ ก็เคลิ้มดีครับ

          เสียงสูงช่วงแรกที่ได้มาผมฟังแต่เพลงเน้นเบส พอมาได้ฟังเพลงที่เน้นเสียงสูงก็โอว มันลากเสียงสูงไปได้ไกลดีครับ ไกลกว่า TF.10 อีกฟัง without you ของ Mariah Carey ท่อนที่เจ๊แกลากเสียงสูงตรง can't live นี่ยังกะไปนั่งฟังในเมดิสันสแควร์การ์เด้นสูงได้ใจมากฮะหรือจะเป็น I will always love you เสียงท่อน love you นี่แทบจะทำขาดใจครับ สูงใสแต่ไม่บาด โปร่ง

          ด้านรายละเอียด, และซาวด์สเตจ แยกรายละเอียดได้ดีทั้งๆที่มี 2 ไดร์เวอร์สมัยฟัง TF.10 ก็ว่ามันขุดรายละเอียดในเพลงมาหมดแล้วเจอเจ้า jh5 มันยังขุดออกมาได้อีก ด้านเวทีเสียงมีทั้งด้านกว่้างและด้านลึกฟังแล้วไม่อึดอัด image เสียงเครื่องดนตรีชัดมากโฟกัสเสียงต่างๆได้เด่นเลยครับเสียงต่ำแยกขาดระหว่างกลองกับกีตาร์เบส รวมถึงเสียงตอนฟาดสแนร์หรือเสียงไฮแฮทมาครบๆเลย เสียงพวกเครื่องสายนี่ยังกะกรีดสายข้างๆหู เสียงเป่าก็ยังทำได้ดี โดยที่ทั้งหมดไม่ได้ไปกวนเสียงร้องเลย 

          เรื่องรายละเอียดที่ผมชอบอีกอย่างตรงเสียงคอรัส บางเพลงนี่ยัง งงว่าเฮ้ยท่อนนี้มันมีคอรัสด้วยเหรอแล้วก็พวกคอรัสในเพลงเวลาร้องอย่าง ฮูวห์~ หรือ ฮาห์~ นี่ลากไปได้ไกลถึงใจมาก รวมถึงการแยกเสียงซ้ายขวาเด็ดขาดดี 

          แล้ว JH5 เหมาะกับเพลงแนวไหนดีละ ผมว่ามันเหมาะกับทุกแนวเลยนะทั้ง rock pop jazz hiphop r&bอาจจะเพราะเสียงมันบาลานซ์ไม่ได้หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง และได้ประโยชน์จากการเป็นคัสตอมทำให้กันเสียงภายนอกดีมาก จนทำให้ได้รายละเอียดในเพลงเด่นขึ้นมา อย่างผมเองได้มาผมก็เอามาฟังดะทุกแนว ฟัง Queen ก็มันและเห็นภาพหนวดของเฟร็ดดี้ เมอร์คิวรี่กระดิก และผมยังเอามาฟังเพลงที่ต่างกันมากๆอย่าง Akai sweet pea ของมัตซึโกะ เซย์ดะ ก็รู้สึกหวานเคลิ้มจนอยากกินถั่วแดงเลย

          นอกจากนี้ผมว่ามันให้อารมณ์ความเป็นดนตรีดีมากๆครับคือจมไปกับอารมณ์ของเพลงฟังมิสเตอร์ของKARAก็สนุกจนอยากลุกออกมาเต้นส่ายก้นทีเดียว พอมาฟังYuki no hana ของ Mika Nakashima ก็เศร้าน้ำตาแทบเล็ดทีเดียว หรือฟัง Jame Taylor& Carole King Live@Troubadour ความรู้สึกยังกับได้ไปนั่งฟังในคาเฟ่ตอนแสดงสด

          อ่านๆมาอาจจะสงสัยกันนะครับว่ามันดีจนไม่มีข้อติเลยเหรอ ไม่หรอกครับทุกอย่างมันก็มีทั้งด้านดีและไม่ดี ข้อด้อยของมันอย่างแรกก็คือ ราคาครับ สำหรับหูฟังราคาเฉียด 2 หมื่นตัวนิดเดียวนี่กว่าจะได้พิมพ์หูก็คิดหนักและหาข้อมูลเยอะทีเดียวครับแถมถ้าไม่ถูกใจขายต่อก็ขาดทุนบานเลย

          ต่อมาก็ระยะเวลาในการรอครับ 8 สัปดาห์ที่ผมรอก็ทรมานดีครับ บางคนก็ไม่ชอบรออาจจะหันไปหา UIEM ตัวทอปๆแทนจ่ายเงินได้ของเลย และอีกอย่างคือมันเป็นคัสตอมของเราคนเดียวดังนั้นเราจึงแบ่งให้คนอื่นฟังไม่ได้ครับ ถึงยัดหูไปได้เสียงก็ออกมาไม่เหมือนที่เจ้าของหุได้ฟัง เสียงจากเดโมมันก็ยังห่างจากหูตัวจริงอยู่เยอะด้วย

          เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากครับเวลาเราได้ฟังเสียงดีๆแล้วอยากแบ่งให้คนอื่นได้ยินแต่ให้เค้าฟังไม่ได้ต้องอธิบายด้วยปาก จะบรรยายสรรพคุณเว่อร์เกินก็กลัวจะบรรยายน้อยๆก็ไม่รายละเอียด
          อีกอย่างคือด้วยความที่มันให้รายละเอียดดีพวกเพลงที่อัดหรือริปมาห่วยๆมันก็โชว์ความห่วยออกมาด้วยครับ

          นอกจากนี้พวกเพลงคลาสสิคที่เสียงสูงลากไปไกลมากๆๆ เสียงสูงแอบมีแตกครับ แต่ส่วนตัวผมว่าถ้าจะให้ได้เสียงสูงระดับนั้นคงต้องเลื่อนไปรุ่นสูงขึ้นอย่าง ES5, JH13 หรือ JH16
          สรุป

          • ฟังเพลงได้มัน สนุก เข้าถึงอารมณ์เพลง
          • โฟกัสเสียงแม่น แยกรายละเอียดดี ทั้งเสียงเครื่องเคาะ เครื่องสายหรือเครื่องเป่า
          • ใส่สบาย กันเสียงดีสุดๆ
          • ฟังแล้วจะมีอาการติดหูไม่ค่อยอยากทำอย่างอื่น จะเกิดอาการขอฟังอีกเพลงไปเรื่อยๆ
          • ราคาสูง แต่ราคาขายต่อตก กราวรูด
          • เสียงตัวจริงดีกว่าตัวเดโมอีก 20-50 เปอร์เซนต์ขึ้นอยู่กับว่าใส่เดโมได้สนิทขนาดไหน
          • บางช่วงของปีต้องรอนานเป็นพิเศษ(ช่วงปลายปีประมาณคริสมาสต์)
          ส่วนตัวผมคงจบชุดพกพาที่ตัวนี้ละครับนอกจากถูกหวยอาจจะมีขยับขึ้นไปรุ่นใหญ่เฉพาะทางอย่าง ES5 หรือ JH13
          ภาคผนวก
          แล้วจะทำหูฟังคัสตอมดีไหม ?
          อืม ตอบยากนะครับถ้าเคยใช้และผ่านหูฟังอินเอียร์มาระดับนึง ผมว่าการไปจบที่คัสตอมก็ดีครับ แต่สำหรับมือใหม่ที่ไม่อยากเสียเวลาอยากซื้อตัวเดียวจบๆเลย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ซื้อหูแบบยูนิเวอร์แซลมาฟังซักตัวนึงก่อนสัก 3-6 เดือนพัฒนาการฟังก่อน พอให้รู้ว่าเสียงที่ดีมันเป็นยังไง 
          หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาก่อนทำ ciem ก็นั่งลองให้นานๆเลยครับลองพวก  uiem ตัวทอปๆให้หมดแล้วค่อยมาลองคัสตอมไปแบบไล่รุ่น เสียงคัสตอมฟังจากเดโมฟังแรกๆมันจะติดหูครับ แต่จะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบต้องใช้เวลาฟังสักพักใหญ่ๆ บางคนฟังครั้งแรกชอบติดหูทำเลย แต่พอรอนานๆเกิน 4 สัปดาห์ความเห่อ ความอยากได้หมด ได้มาก็เอามาปล่อยเสียดายเงินแทนครับ
          แล้วก็หูแบบอินเอียร์เวลาใส่แน่นๆมันมีผลกับความดันในหูคนที่ไม่ชินอาจจะอึดอัดทำให้ใส่ได้ไม่นาน ซื้อมาแล้วอาจจะไม่คุ้มได้ครับแต่ถ้าลองแล้วชอบจริง ถูกใจ งบถึงก็ลุยได้เลยครับ

          หูคัสตอมกับฟูลไซส์อะไรดีกว่ากัน
          มันเทียบกันยากครับในคลาสเดียวกันฟูลไซส์จะให้เสียงดีกว่า เช่น ATH 3000anv กับ JH16 สองตัวนี้ถ้าต่อแบบจัดเต็ม 3000ANVทิ้งห่าง 16 แบบไม่เห็นฝุ่น แต่ถ้าในการใช้งานแบบพกพาเราคงแบกเพลเยอร์กับแอมป์ไปช่วยฟูลไซส์ได้ลำบากแบบนี้อินเอียร์ก็ได้เปรียบ อย่าง JH5 กับ HD600 ถ้าเอามาต่อตรงกับไอพอดทั้งคู่ แบบนี้ฟูลไซส์อย่าง 600 ก็กด jh5 ไม่ลงเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าจะเลือกผมอยากให้ดูการใช้งานก่อนครับว่าเอามาใช้แบบไหน พกพาหรืออยู่กับที่ ต่อกับไอพอดหรือจัดชุดใหญ่เพลเยอร์+แอมป์+สาย แล้วจะเลือกหูได้ตรงกับความต้องการมากกว่า
          โดยส่วนตัวผมชอบใช้อินเอียร์เพราะแค่ต่อตรงมันก็เสียงดีแล้วยิ่งเป็นคัสตอมมันก็น้องๆพกฟูลไซส์แถมได้ความสะดวก แต่ถ้าในอนาคตงบถึงๆผมก็ยังอยากได้ ATH 3000anv มาฟังที่บ้านอีกชุดครับตัวนี้ผมให้เป็นมหาเทพเลย

          วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

          e3c ขาวใส เบสบางๆ

          หลังจากเขียนถึงง ex71 ไปแล้วก็ว่าจะเอาเจ้านี่มาเล่าให้ฟังต่อแต่ด้วยความขี้เกียจเลยดองๆไว้และโดนแซงไปโดยการแนะนำ jh5 คราวนี้ก็ขอย้อนกลับมาที่หูที่น่าจะเรียกได้ว่าอยู่ด้านตรงข้ามของ ex71 ก็ว่าได้ นั่นก็คือ SHURE E3C
          มี 2 สีขาวกับดำขอเอารุ่นสีขาวมาลงให้ดูครับ

          หูรุ่นนี้ถือว่าเป็นหูราคาเกิน 5 พัน หูแรกที่ผมได้ฟังตอนได้มาใหม่ๆนี่มือสั่นเลยนะครับ คิดในใจว่าแม่มราคาโคดสูงเลย จะหยิบมาใช้แต่ละทีนี่ทนุถนอมสุดๆครับ เลิกใช้ก็พันเก็บในกล่องอย่างดี สายนี้คอยหาผ้าเช็ดตลอดเวลา
          รุ่นนี้มี 2 สีครับ ขาวและดำ ของที่ผมใช้เป็นสีขาวแบบในรูปอุปกรณ์ให้มาเยอะจน งง เลยครับ กล่องเก็บที่ดูกันการกระแทกได้ดีกว่าถุงผ้าธรรมดาๆของex71 จุกยางใส 3ขนาด จุกยางทึบ 3ขนาด จุกโฟม 1คู่และที่แคะขี้หูครับ ครั้งแรกนี่กว่าจะหาจุกที่ลงตัวได้ก็กินเวลาไปร่วมๆ 1 ชม.ได้ครับ

          หูรุ่นนี้เป็นแบบสายท่อนเดียวยาวๆนะครับ ไม่มีสายต่อตัวสายหูฟังหนามาก ดูคงทนแข็งแรงดีครับ
          เรื่องจุก จุกแบบใสกับทึบเสียงแทบจะไม่ต่างกัน จุกใสใส่ได้แน่นกว่า จุกทึบใส่สบายกว่าแต่ก็หลุดง่ายกว่า ส่วนจุกโฟมนั้นใส่สบายที่สุดแต่ก็ให้เสียงที่ drop ลงสุดเช่นกัน

          การใส่ก็ใส่แบบคล้องหูถ้าไม่เคยใส่แรกๆจะใส่ยากสักนิดเพราะสายมันใหญ่ ต้องค่อยๆดัดตรงส่วนที่คล้องหูให้พอดีกับหูเรา และด้วยความที่สายมันใหญ่เวลาม้วนเก็บ พอเอาออกมาใช้ก็ต้องรอสักนิดกว่าสายจะคืนตัวตรง

          เรื่องเสียงฟังปุ๊บ เฮ้ยเบสไปไหนวะ ยิ่งตอนนั้นพึ่งเปลี่ยนมาจาก ex71 ด้วยนึกว่าเบสหายเลยละ แต่พอได้ใช้ไปสักพัก ปรับตัวปรับหูรวมถึงวิธีใส่ก็โอเค เสียงเบสมาละ แต่ถ้าเทียบกับทั่วๆไป ก็ถือว่าเบสบางละ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบบริโภคเบส 3 เวลาหลังอาหาร ผมว่าเสียงเบสมาทางเดียวกับ UE Super Fi.3 studio คือมาลูกเล็กๆ มาไวไปไวเก็บตัวเร็ว มีแค่ให้พอรู้ว่า นี่เสียงเบสนะ อ่อแต่ถ้าเทียบคุณภาพเบสดีกว่า ex71 นะครับ คือไม่ฟุ้ง ไม่เบลอ เสียแต่ที่ลูกเล็กอิมแพคน้อยแค่นั้นเอง

          เสียงกลางก็กลางจริงๆครับคือมาแบบเรื่อยๆเลยนักร้องร้องยังไงมายังงั้น ไม่มีหวาน ไม่มีความพริ้วคือมอนิเตอร์สุดๆ ร้องดีไม่ดี ออกเสียงชัดไม่ชัดก็ฟ้องกันตรงๆ เสียงสูงนี่แยกแยะรายละเอียดดีครับ ไม่พริ้วมากแต่ฟังสบายหูดี

          รวมๆคือเด่นเรื่องรายละเอียดเสียง แยกเสียงชัดเจน เบสบางไปนิด เสียงออกแนวจืดชืดมากๆ จืดเหมือนแกงจืดเลย ใส่ฟังเพลงนี่ไม่สนุกเลยครับ ฟังเอาผ่อนคลายพอได้ เหมาะกับเอาไปใส่ร้องเพลงบนเวทีมากกว่าไว้ฟังเสียงตัวเอง ฟังเสียงรายละเอียดดนตรีแบคกิ้งแทรค แบบที่ ทาคาฮิโระวง exile ใช้ตอนออดิชั่นเข้าวงนั่นละเข้าท่าเลย

          ปัญหาของรุ่นนี้ที่ผมเจอคือสายแข็งซึ่งคงเป็นปกติของหูฟังทั่วๆไปมั้ง แต่อีกอันที่เจอนี่คิดว่าอาจจะเป็น defect คือตัวบอดี้หักครับตรงท่อนำเสียง หักตอนกำลังใส่เข้าหูเลย
          อันนี้หูคนอื่นครับ แต่หักแบบเดียว ข้างเดียวกับของผมเลย

          ตอนแรกผมก็ซ่อมเองโดยใช้กาวช้าง ก็ทนใช้มาได้อีกหลายเดือนแล้วมันก็หักอีก พอมาเขียนบลอกนี้ลองเสิร์ชรูปดูก็เจอหูของฝรั่งหักแบบเดียวกัีนเลย ของผมนี่ใช้มาเกือบ 2 ปีก็หักแล้วครับ หักแบบนี้เคลมประกันไม่ได้ด้วย :(

          แต่ถ้าใครพึ่งเริ่มเล่นเจอหูตัวนี้ในราคาล้างสตอค(ไม่เกิน 2 พัน)ผมก็ว่ายังน่าสนใจครับเพราะกว่ามันจะหักคงเกิน 1 ปีเอามาฟังรายละเอียดแนวเสียงต่างๆโดยเฉพาะเสียงสูง พัฒนาหูก่อนจะไต่ไปรุ่นสูงๆทีหลัง







          วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

          เมื่อผม(คิด)ไปทำ JH5 pro



          Entry นี้มาพร้อมกับความเห่อของใหม่ครับ นั่นก็คือ CIEM (Custom In-Ear Moniters)หรือหูฟังแบบคัสตอมนั่นเองครับ จริงๆยังมีพวกหูเก่าๆที่พิมพ์คาไว้อยู่แต่ขอดองไปก่อนขอลัดเอาเรื่องหูฟังตัวใหม่ตัวนี้มาเล่าให้ฟังกันก่อน

          ตอนแรกว่าจะรีวิวเรื่องเสียงแต่ว่ามันยังไม่พ้นเบิร์นเลย คงเล่าเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปก่อนละกันครับ แรกเริ่มไม่เคยคิดว่าจะมาจบที่หูฟังคัสตอมหรอกครับผมเองกะว่าแค่ หูอินเอียร์ตัว top อย่าง TF.10 ก็คงพอแล้ว ถึงแม้วันที่ผมไปซื้อ TF.10 คนขายจะทักว่าระวังจะไปโดนคัสตอมนะก็ตามที ถามว่าผมชอบไหม TF.10 
          ผมชอบนะชอบเสียงมันมากเลยสูงระยิบระยับ สเตจกว้าง ใสกิ้ง แต่...แต่มันใส่ยากชิบเลยครับใส่ไม่พอดีโฟกัสผิดนี่เสียงก็เห่ยบรม เบสจม เวทีหด พยายามลองหาวิธีใส่ เปลี่ยนจุกนู่นนี่นั่นก็ยังแก้ปัญหาได้ไม่ดีเท่าไหร่

          ก็พยายามทนๆใช้มาครับ ใช้สมาธิตอนใส่นิดนึงให้ได้โฟกัสแล้วพยายามไม่ถอดบ่อยๆ แต่หลังๆเริ่มรำคาญก็ลองมองๆหาหูฟังตัวอื่นในระดับเดียวกันมาใช้แทนทั้ง shure se535 ,westone w3 ,w4r และ um3x ซึ่งทั้งหมดที่บอกมาใส่สบายแต่แนวเสียงยังไม่โดน

          ลองกลับมานึกดูปัญหาว่าทำไมผมใส่ยากกว่าปกติก็พบว่ารูหู 2 ข้างมันไม่เท่ากัน วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือพิมพ์หูทำคัสตอม T^T ก็ทนๆใช้ tf.10 ในสภาพใส่แบบหาโฟกัสยากๆพร้อมกับหาข้อมูลเรื่องหูคัสตอมไปด้วยว่ามียี่ห้อไหนบ้าง รุ่นไหนดี ตอนนั้นที่คิดในใจก็มี JH5 JH13 ES5 1964 4รุ่น 3 ยี่ห้อ พอหาข้อมูลแล้วก็ต้องลองฟัง แต่ผมไม่ได้ไปลอง 1964 นะลองแค่ 3 ตัวที่เหลือ

          ซึ่งบทสรุปมาจบที่ JH5 เพราะมันถูกที่สุด เพราะเงินมีแค่นั้น ซึ่งก็ถือว่าดีเพราะ ระหว่าง jh13 กับ es5 2 ตัวนี้ตัดสินใจยากมากสูสีกันเหลือเกิน พองบไม่ถึงก็ไม่ต้องเลือก(ปลอบใจตัวเองกันไป)

          สีกล่องหวานสดใสดั่งกล่องขนม

          พอเลือกรุ่นได้ก็กลับมานั่งหารีวิว ข้อมูลนู่นนี่นั่นอ่านเพิ่มอีก เพราะหูคัสตอมนี่ตัดสินใจผิดเหมือนเงินหายไปเป็นหมื่นเลยทีเดียว หลังจากย้อนไปลองฟังและนั่งอ่านรีวิวซ้ำอีก 10 รอบก็ถึงเวลาตัดสินใจทำสักที วันที่ไปพิมพ์หูผมก็ยังลองฟัง JH5 เทียบกับ W4r UM3x อีกรอบตอนนั้นเทียบจริงๆหูเดโม jh5 ยังหนี 4r ได้ไม่เยอะแถมเสียงบางด้านยังแพ้ด้วย แต่ผมก็ตัดสินใจ เอาวะพิมพ์หูให้จบๆกันไป ไม่ต้องโลเล

          ตอนพิมพ์หูนี่ออกจะเกร็งๆนิดหน่อย เพราะพึ่งหายหวัดไม่รู้ว่ารูหูมันจะขยายหรือหดตัวรึเปล่ากลัวนู่นนี่นั่นแล้วก็โดนฉีดซิลิโคนเข้าหูครับมันจะอื้อๆเต็มๆในรูหูเหมือนโดนดินน้ำมันอัดเข้ามาในหูเลยแน่นๆ คับๆ ต้องอ้าปากตอนฉีดซิลิโคนไว้ด้วย ทำข้างซ้ายเสร็จพัก 5นาทีก็มาทำข้างขวาต่อก็เหมือนเดิมฉีดซิลิโคนเข้าหูแน่นๆ เสียดายว่าลืมถ่ายรูปพิมพ์หูของตัวเองไว้

          พิมพ์หูเสร็จก็มาเปิดออเดอร์ครับเลือกรุ่นเลือกสี shell เลือกสี faceplate สายซึ่งขนาดผมลองทำมาแล้วในเวบของ JH Audio แต่พอถึงเวลาทำจริงๆนี่ก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันครับสีเยอะทั้งแบบทึบ แบบใสและแบบ blacklight ตรง faceplate เลือกลายได้และเลือกพื้นผิวได้จะลายไม้ ไทเทเนียม ลายผ้า ติดglitter ก็ได้เยอะแยะครับ แต่ผมเลือกลายฟรีที่ jh มีให้(งกนั่นเอง) เลือกชื่อที่จะให้พิมพ์บนกล่อง
          แบบหูฟังที่ผมลองทำในเวบ JHAUDIO

          หลังจากนี้ก็รอครับรออย่างเดียว อ่อผมพึ่งมานึกได้ว่าสีตอนเลือกที่ร้านมันคนละสีกับตอนที่ผมลองทำ ตอนลองทำผมเลือกสี  Knuckle Red แต่ในออเดอร์เป็น Red Eye Red อันนี้ผมผิดเองที่จำชื่อเฉดสีไม่ได้ ระหว่างรอก็ยังวนเวียนกลับไปอ่านพวกรีวิวอยู่เรื่อยๆนะครับ พร้อมแอบกังวลว่ามันจะฟิตพอดีหูไหม แล้วถ้าเสียงไม่ดีอย่างที่หวังละ นู่นนี่นั่น เรียกง่ายๆว่าเกือบฟุ้งซ่านครับ

          ช่วงเดือนแรกยังไม่เท่าไหร่เพราะเรารู้ว่าออเดอร์เยอะ ไม่ได้ภายในเดือนแรกแน่ๆแต่พอใกล้ๆครบกำหนด 8-9 สัปดาห์ยิ่งกระสับกระส่ายครับว่าของจะมาเมื่อไหร่ว้า กอปรกับช่วงนั้น tf.10 คู่บุญสายหูฟังขาดในด้วยเลยไม่มีหูฟังเลย หลายๆคนก็ให้กำลังใจครับว่าคุ้มค่าการรอ เสียงตัวจริงดีกว่าเดโมอีกเยอะ ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่ออะครับ อารมณ์แค่มันมาฟิตพอดีหูก็พอใจแล้วอยากฟังเต็มแก่

          พอถึงกำหนดส่งจริงๆก็ตรงกับช่วงอีสเตอร์วันหยุดยาวของฝรั่งอีกก็รอเพิ่มไปอีก 1 สัปดาห์ตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่ารอนานจนเผลอคาดหวังว่าเสียงมันต้องดี หรือนานจนเลิกคาดหวัง

          พอถึงวันรับหูฟังจริงๆตื่นเต้นครับ ก็ให้ที่ร้านลองสอนการใส่ สอบถามเรื่องการดูแลรักษาก็เหมือนกับหูฟังทั่วๆไปไม่มีอะไรพิเศษ ตอนนั้นก็พอใจแล้วครับเพราะลองที่ร้านแล้วมันใส่ได้ฟิตพอดีหูไม่ต้องส่งไปรีฟิต อ่อ ตอนใส่ที่ร้านทำให้ผมรู้อีกอย่างว่านอกจากรูหูผมจะไม่เท่ากันแล้ว รูหูข้างซ้ายยังเอียงอีกด้วย มิน่าทำไมมันถึงได้ใส่ TF.10 ยากเป็นพิเศษ 

          พอออกมานอกร้านก็ได้เวลาทดสอบการใช้งานจริงทันที จับสาวน้อย flying girl ใส่หูทันที ผลปรากฎว่าใส่ไม่เข้าครับ เฮ้ย เอาใหม่ใจเย็นๆ ค่อยๆหมุน หามุมเล็งดีๆ กว่าจะใส่ได้ 2 ข้างล่อไป 5 นาที+ได้ แอบนึกในใจว่าแม่ง ใส่ยากวะ แต่พอใส่ได้พอดีแล้วมัน block เสียงรอบด้านออกไปหมดเลยครับยังกะอยู่ในห้องปิดตาย ขนาดอยู่ริมถนนสุขุมวิทตอนเย็นๆที่การจราจรพลุกพล่าน อาจจะมีเสียงรถเมล์ตอนเบิ้ลเครื่องเล็ดรอดเข้ามาบ้าง แต่ถ้าตอนเปิดเพลงนี่ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลยครับ 

          หูตัวจริงลองเทียบกับแบบข้างบนดูครับ

          มาทางด้านตัวชิ้นงานผมเองไม่เคยมีหูคัสตอมแต่ดูแล้วก็เรียบร้อยดีครับ หูฟังมาในกล่อง otterbox ที่เปิดยากมากสอดมาในแจคเกตกระดาษสีหวานแหวพร้อมคู่มือ เปิดกล่องตัวหูฟังมาในถุงกำมะหยี่พร้อมที่เขี่ยขี้หู 1 อันตัวหูฟังดูเงาๆลื่นๆ รวมๆแล้วผมพอใจนะครับถ้าจะติก็คงเป็นหูซ้ายผมเลือกเป็นชื่อรุ่น หูขวาเป็นชื่อยี่ห้อ แต่ตัวจริงกลับเป็นชื่อยี่ห้อทั้ง 2 ข้าง
          รวมๆแล้วก็โอเคครับถ้าให้คะแนนผมให้ 9.5/10  

          ป.ล.
          ตอนนี้ใส่คล่องแล้วครับหมุนนิดเดียว ฟลอบเข้าหูพอดี
          เรื่องเสียงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าผมเห่อไปเองรึเปล่าว่าเสียงมันดี เลยขอเวลาอีกสักพักคงได้เขียนเฉพาะเรื่องเสียงรวมถึงให้เวลาเบิร์นหูด้วย ถ้าจะบอกเรื่องเสียงคร่าวๆตอนนี้คือตัวจริงกับเดโมต่างกันมาก 30-60 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวและเสียงมันกินเรียบ หูยูนิเวอร์แซลเกือบทุกตัวเลย สูงแบบ tf.10 กลางแบบse535  และกลองมันๆแบบum3x รวมถึงสเตจมาทั้งกว้างและลึก 

          วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

          เบสบวมๆกับ ex71

          ในที่สุดคอมตัวเก่าก็พังจนเกินจะยื้อไหว จนต้องเสียเงินมาซื้อใหม่จนได้
          ซึ่งก็ทำให้ได้คีย์บอร์ดใหม่มาด้วย เลยต้องขอลองทดสอบสักนิดด้วยการอัปบลอก

          ซึ่งก็คงไม่พ้นการพิมพ์ถึงเรื่องหูฟังอีกนั่นเอง 
          หูที่จะกล่าวถึงคราวนี้คือ Sony MDR EX71-SL นั่นเองครับ
          ถ้าผมจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นหูฟังแบบอินเอียร์รุ่นแรกของโซนี่ราคาตอนออกศูนย์ใหม่ๆนี่เหยียบ 2 พันกว่าบาทเลยครับ

          แต่ผมมาซื้อใช้ก็ตอนที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือเอามาแยกขายจากมือถือของไอโมบาย 349 บาท (ลดไปเกือบ 2 พันได้) อุปกรณ์ที่ให้มาก็ถือว่าครบเครื่องครับจุกยาง 3 ขนาด สายต่อหูฟัง ที่เก็บสายและกระเป๋าใส่หูฟัง (สายต่อนี่พอต่อแล้วยาวมากๆครับ ใครที่ตัวสูๆ 180+ น่าจะชอบ)
          ซึ่งคนที่ฟังแต่หูแถมมาตลอดอย่างผมตอนนั้น แค่เห็นของแถมก็คิดในใจว่าคุ้มสลัดๆ
          พอเอาใส่หูเพื่อลองฟังเสียง ฟังได้ไม่ถึง 10 วินาทีถอดออกแทบไม่ทันครับ

          เปล่าครับไม่ใช่เสียงไม่ดีหรือว่าอะไร แต่เสียงมันดังเกินไปมากๆๆๆ พอลองดูก็อ่อ เปิดความดังไว้ซะสุดเพราะฟังกับหูแถม ก็เลยลดเสียงลดแล้วลองฟังใหม่

          อย่างแรกที่สัมผัสได้คือเบสครับ มาแรง หนักหน่วงกระแทกกระทั้น ฟังแล้วมันมาก และตอนนั้นนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการหูฟัง เพราะรู้แล้วว่ามันต่างจากหูแถมยังไง
          ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด ณ ตอนนั้น ผมชอบเจ้า ex71 มากเลยนะครับฟังเพลงอะไรๆก็สนุก เสียงที่ไม่ค่อยได้ยินจากหูแถมโดยเฉพาะเบสมากันเต็มๆ แหลมก็แผดได้ไกลดี

          ทว่าหลังจากไปใช้หูรุ่นอื่นสัก 1-2ปี และกลับมาใช้หูรุ่นนี้อีกครั้ง ความรู้สึกที่ได้มันไม่เหมือนเดิมครับ
          เบสที่บวมดังลำโพงเวทีเห่ยๆ แหลมที่บาดหูและกลางจมดิ่ง แรกๆก็งงๆว่า เฮ้ยทำไมเสียงมันห่วยลง
          แต่พอมาลองคิดดีๆแล้่ว เป็นที่หูของเราเองมันพัฒนาไปฟังตัวสูงๆมาแล้ว ถึงมาเจอข้อด้อยของรุ่นนี้นั่นเอง

          ไม่รู้ว่าปัจจุบันยังหาหูรุ่นนี้มือ 1 ได้ไหมผมว่าเหมาะเป็นหูเริ่มต้นนะ ฟังแล้วเห็นผลต่างจากหูแถมชัดเจน
          เหมาะกับคนชอบเบสแบบกินเบสแทนข้าว คุณภาพเสียงก็เหมาะสมกับราคาดีที่ 300 กว่าบาท ถ้าไม่คิดมาก นึกเสียว่าซื้อสายต่อ+ถุงผ้าแถมหูฟังก็พอไหว แถมใช้แบบไม่ต้องถนอมพังก็ไม่เสียดายเท่าไหร่
          พอเริ่มชินกับเสียงแล้วค่อยขยับขึ้นมาเล่นตัวที่สูงขึ้นอีก หรือจะเลิกเล่นก็ไม่เจ็บตัวมากกับราคาแค่ 300 กว่าบาท ๆไม่แน่บางคนอาจจะชอบเสียงเบสบวมๆของเจ้าตัวนี้ก็ได้ครับ :P


          วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

          รีวิวหูที่เคยฟัง

          หลังจากขุดเรื่องเก่าๆมาโพสลง บลอกจนหมด ก็ทำให้ถึงเวลาต้องเขียนเรื่องใหม่สักที
          ก็คงเป็นเรื่องหูฟังนี่ละเพราะช่วงนี้กำลังเห่อนั่งอ่านบทความเกี่ยวกับหูฟัง
          ไม่รู้จะเรียกว่ารีวิวได้ไหม เพราะบางตัวก็ฟังมานานแล้ว
          ก็คงเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ในหูฟังรุ่นที่เคยใช้มามากกว่าจะรีวิวแบบแจกแจงทุกรายละเอียด
          หูฟังที่เจ้าของบลอกเคยใช้และเป็นเจ้าของก็มี

          1. หูแถม ไอพอดเจน3  & หูแถมไอพอดคลาสสิค
          2. Sony EX71 - SL
          3. SHURE E3C
          4. Audio Technica CK52
          5. Harman / Kardon EP710
          6. HiFiman RE-2
          7. หูไม้ JBL(ปลอม)
          8. Ultimate Ears Super. Fi 3 Studio
          9. Ultimate Ears Tripple.10 Pro
          (เฮ้ย 9 ตัวเลยเหรอแอบเยอะนะนั่น - -a) 
          ถ้ารุ่นไหนจำได้เยอะก็คงเขียนถึงเยอะ รุ่นไหนจำได้น้อยคงเขียนแค่ผ่านๆ แต่จะพยายามเขียนให้มีสาระเยอะที่สุดละกัน

          ไหนๆก็เขียนแล้วก็ขอพูดถึงหูอันแรกก่อนเลยแล้วกันนั่นก็คือ
          หูแถมไอพอดเจน 3  & หูแถมไอพอดคลาสสิค
          บางคนอาจจะถามในใจว่าหูแถมไม่ได้เหมือนกันทุกรุ่นเหรอ
          ไม่เหมือนครับ หูไอพอดตั้งแต่ เจน 5 มาก็มีการเปลื่ยนแปลงนู่นนี่นั่นนิดหน่อยตลอด
          บางรุ่นมีรีโมทกับไมค์ บางรุ่นมีแค่รีโมท หรือบางทีแค่ปลื่ยนตัว Housing เฉยๆ
          ถ้าไม่นับเรื่องรีโมทดูกันที่ตัว Housing อย่างเดียวก็แบ่งได้ 2 รุ่นครับลองดูตามรูป(จากวิกิ)

          ทางซ้ายคือรุ่นที่แถมมากับไอพอดเจน 3 ครับส่วนทางขวาคงคุ้นตากันอยู่
          แถมมากับไอพอดตั้งแต่เจน 5.5
          ตัวพลาสติกชนิดเดียวกันแต่ทรงต่างกันนิดนึง ตระแกรงของเจน3 จะถี่กว่าและใหญ่กว่า
          ยางตรงสายของเจน 3 สั้นกว่า ขอบยางตรงหูฟังบางกว่า

          ตอนใช้งานผมใช้ของเจน 3 มากกว่าเพราะช่วงนั้นยังไม่เข้าวงการหูฟัง ก็ทนทานดี สุ้มเสียงก็โอเค
          เอาเรื่องความทนทานก่อนผมใช้หูคู่นี้ 3 ปีน่าจะได้ใช้แบบสมบุกสมบันมากขึ้นรถ ลงเรือ เวลาเก็บก็พันลวกๆใส่กระเป๋า ก็ยังใช้มาได้ตลอด 3 ปีจนเริ่มขยับไปฟังรุ่นสูงขึ้นจึงยกให้คนอื่นไป

          ทางด้านเสียงออกแนวแฟลต เรียบๆใสๆ เบสมาแบบบางๆ บางเฉียบ 
          โดยส่วนตัวคิดว่ามันไม่ได้แย่มากมายแบบที่หลายๆคนยี๊กัน บางคนอคติล่วงหน้า ได้มายังไม่ใช้ก็ว่าเสียงห่วยแล้ว

          ข้อเสียใหญ่ๆผมว่าคือการกันเสียง แน่นอนว่ามันทรงแบบ ear bud กันเสียงไม่ได้ดีอยู่แล้ว
          แต่กับหูรุ่นนี้ผมว่าแย่มากๆเสียงที่เราฟังก็ดังเผื่อแผ่คนอื่น อีกทั้งยังกันเสียงภายนอกไม่ได้เลย พอเสียงภายนอกรบกวน คุณภาพเสียงก็ตกลง 
          ผมคิดว่านี่คือสาเหตุที่คนฟังแล้วคิดว่าหูแถมไอพอดเสียง กาก ถ้าได้ลองฟังในห้องเงียบๆก็จะรู้ว่ามันไม่แย่ขนาดนั้น
          แต่ก็นะ จะมีสักกี่คนซื้อเครื่องเล่นพกพามาฟังในห้องเงียบๆ นิ่งๆและถ้าต้องทำยังงั้นหูตัวนี้ก็สอบตกในแง่การพกพา
          รวมๆแล้วคือทนดี เสียงพอทนและกันเสียงได้แย่

          มาที่หูแถมไอพอดคลาสสิคหรือหูแถมไอพอดรุ่นปัจจุบันกันบ้าง
          ผมมีโอกาสใช้หูรุ่นนี้ระยะนึง ช่วงกำลังหาหูฟังมาแทนตัวที่พัง ผลคือผมใส่แทบไม่ได้ครับ 
          ไม่ทราบว่าทำไมเช่นกัน จะว่าเพราะหูฟังใหญ่ขึ้นแต่ดูๆแล้วก็เท่าๆกับรุ่นเดิม ผมเดาว่าน่าจะเป็นที่ยางมั้ง
          ผมใส่แล้วมันคอยจะหลุดอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยจับทุกๆ 10-20 วินาที
          เสียงจากที่ตั้งใจฟังผมว่าไม่ต่างจากรุ่นเดิม 
          พอใส่ไม่ได้ ผมก็ยกให้น้องไปใช้
          ไม่ถึง 6 เดือนพวกยางหุ้มต่างๆ เปื่อยลอก ออกมาหมด คนที่เคยใช้คงพอนึกสภาพออก
          ผมให้ความคงทนต่ำมากๆอยากเรียกว่า ห่วยเลยด้วย
          ใส่ก็ไม่ได้ เสียงก็แบบเดิม ความคงทนก็เห่ย สงสัยแอปเปิลคงแอบลดต้นทุนวัสดุ

          ความรู้สึกที่จะเขียนเกี่ยวกับหูแถมไอพอดก็คงจบแค่นี้
          แล้วมาต่อกันบลอกหน้ากับ Sony EX71 - SL ครับ

          วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

          ╮( ̄▽ ̄)╭


          ╮( ̄▽ ̄)╭  (‘¬‿¬) / (;ノ゚Д゚)
          (´∀`)
          (´▽`*)
          o(^▽^*)o
          …┐(´ー`)┌
          ╮(╯▽╰)╭
          (●´ー`●)
          ( *`ω´)
          (゚ロ゚;)
          (#°д°)
          (*`へ´*)
          (;ノ゚Д゚)ノ
          ( ̄△ ̄;)
          ( ̄へ ̄;)
          (  ̄3 ̄)

          โกวเล้ง”มันผู้ใดบอกว่ารู้จักอิสตรี มันผู้นั้นไม่รู้อะไรเลย”


          โกวเล้ง
          “ปีศาจสุรา คนชั่วช้าจริงแท้ มีที่ใดไม่ดี นั่นยังดีกว่าวิญญูชนจอมปลอมที่ใส่หน้ากากหลอกลวงผู้คนนัก”

          คำพูดของลี้คิมฮวง
          …ชั่วชีวิตมนุษย์…สิ่งที่บันดาลให้หดหู่รันทด มิใช่การจำพราก…หากเป็นการอยู่ร่วมเพราะหากไม่เคยอยู่ร่วม ไหนเลยมีการจำพรากได้…

          “มีผู้หนึ่งเคยถามว่ามีดบินเทวดาของลี้น้อยเป็นเช่นไร”
          “แล้วยามนี้เล่า?”
          “พวกประดานั้นต่างตายหมดแล้ว!!”

          ความรักเป็นสิ่งงดงาม งดงามประหนึ่งดอกกุหลาบ แต่ทว่ามันมีหนาม… กุหลาบที่ไร้หนามในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือมิตรภาพ

          เมื่อคิดเสพสุขอันหวานชื่นของความรัก ก็ต้องเตรียมใจสำหรับกล้ำกลืน ความกลัดกลุ้มและปวดร้าวจากความรักด้วย

          ถึงแม้บาดแผลบนร่างกายของคนเรา อาจมีได้ นับร้อยนับพันแห่ง…
          แต่รอยแผลในหัวใจ กลับมีอยู่เพียงรอยเดียว และที่ตรงนั้นเอง…
          ที่เขารู้สึกว่าเปราะบางที่สุด ถูกทำร้ายได้ง่ายที่สุด
          แม้ว่าปากแผลจะปิดไปแล้วก็ตาม
          แต่เมื่อไรที่มีอะไรมาสะกิดทำให้เราหวนคิดกลับไป…อาการก็จะกำเริบเจ็บปวดขึ้น มาอีก

          รักลึกซึ้ง แค้นย่อมล้ำลึก
          ///////////  http://goo.gl/m3bQv
          ...ไม่มีการอยู่ร่วม ไหนเลยมีการจำพราก?
          การอยู่ร่วมของพวกเรา
          อาจเป็นการเริ่มต้นจำพรากของผู้อื่น
          และการจำพรากของพวกเรา
          อาจเป็นการเริ่มต้นการอยู่ร่วมของผู้อื่น
          เมื่อดื่มด่ำกับการอยู่ร่วม
          แล้วเหตุใดไม่อาจกล้ำกลืนความรวดร้าวของการจำพราก?
          หากไม่เคยหลั่งน้ำตาให้กับการจำพราก
          ไหนเลยล่วงรู้ถึงความสุขสดชื่นของการอยู่ร่วม…

          รอยขาดของเสื้อผ้าเย็บปะได้ แต่บาดแผลในหัวใจมิว่าผู้ใดก็ไม่อาจเย็บสมาน
          หากคิดโลมลูบความหอมละมุนของความรักก็ต้องแบกทานความเหน็ดเหนื่อย
          และรันทดท้ออันเนื่องจากความรักด้วย
          หรือท่วงทำนองแห่งรักมักบรรเลงด้วยอารมณ์เช่นนี้เสมอ

          ...นับแต่โบราณกาล
          คำ “รัก” ชุบชีวิตคนจำนวนมาก
          แต่ก็ทำร้ายใครไม่น้อย...

          หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว มีเพียงสองวิธีเท่านั้น ที่จะสามารถบันดาลให้มันฟื้นคืนมาได้
          หนึ่งคือความรัก หนึ่งคือความแค้น…
          credit : โกวเล้งไต้เฮียบ ใบไม้คืนสู่ราก, พาสนา แพรวพรรณ, สำนักพิมพ์มติชน

          ถ้าเรือ Aegis สู้กับทัพเรือไทย

          เป็นโพสต่อเนื่องจากบลอกที่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรือเอจิส(Aegis)

          ถามเลยละกันครับว่า เทียบกับเรือAegis ลำนึงนี่
          เอาเรือของกองทัพเรือไทยเข้าสู้ด้วยนี่จะต้องใช้เรือไทยกี่ลำลำใหนบ้าง
          ถึงจะมีอาวุธพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ถ้าเกิดไม่พอให้ยืมกำลังอกงทัพอากาศ
          ด้วยก็ได้นะครับ
          ^
          ^
          ^
          ^
          ^
          ตามความรู้อันน้อยนิดที่ผมมี..ลองเดาเล่นๆ โดยใช้เรือชั้นคองโก
          ของญี่ปุ่น (ไม่เอาอาเลนเบิร์กของ US ขานั้นโหดไป..เจอโทมาฮอร์ก)
          .
          .
          - เรือเอจิส ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเรือหน้าด่านป้องกันเรือบรรทุกเครื่องบิน
          โดยจุดแข็งมาก คือเรดาห์เอจิส และระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เหนียว
          แน่น
          - ขีปนาวุธ SM2 โชคการยิงถูกเป้ามาตรฐานไม่ต่ำกว่า 50%  มี90 ลูก
          เอจิสล็อกเป้าหมายพร้อมกันได้ 72 เป้า นำวิถีต่อเนื่องได้ 12 ลูกต่อชุด
          -กองทัพไทยต้องใช้อากาศยานระดับ F16, หรือขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ
          ซิกแซกฝ่าเข้าไปอย่างน้อย 45 ชุด เพื่อผ่านแนวป้องกันชั้นแรก (10- 100
          Km)
          - แนวป้องกันชั้นใน คือปืนใหญ่ประจำเรือ และเป้าลวง + ระบบสงคราม
          อิเล็กทรอนิคส์ + ซึ่งหากระบบเรดาห์โดนรบกวนแล้วแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่มี
          ทางเลือกอื่นนอกจากพิสูจน์ทราบด้วยสายตา..นักบิน
          - แนวป้องกันสุดท้าย ฟาลังซ์ 2 แท่น  อัตราการยิง 6 พันนัดต่อนาที/แท่น
          ที่จะสาดแนวกระสุนเป็นม่านป้องกันเรือเอจิส
          - ถ้าจะชนะเอจิสด้วยกำลังทางอากาศแน่ๆ โปรดเตรียม F16/ฮาร์ปูน อย่าง
          น้อย 60 ชุดครับ
          .
          .
          .
          .
          แสรดดด………เก่งขนาดนี้เอาเรือรบไปสู้ดีกว่า
          - เรือเอจิส มี Harpoon 16 ลูก แจกพร้อมเฮลิคอปเตอร์ชี้เป้า สามารถยิง
          ได้จนสุดระยะ ฮารปูน 120 km + ระบบเอจิสรับหน้าที่แบ่งแยกเป้าหมาย
          - เป้าหมาย 16 เป้าก็ได้แก่…
          1. เรือจักรีสัก 6 ลูก  (มี ciws ซาดัลน่าจะสกัดได้สัก 50% เหลือเข้าเป้า
          สองสามลูก ไงๆก็พอเหลือเฟือที่จะจมได้)
          2. เรือ HMS นเรศวร/ตากสิน/พุทธยอดฟ้าฯ/พุทธเลิศลาศฯ แจกไปลำละ
          สองสามลูก… กองเรือคุ้มกันเด่นๆเราก็มีแค่นี้แหละครับ
          3. ทีเหลือเอา SM2 มายิงใส่เรือรบก็น่าจะได้… เห็นในเกมทำได้ (ฮา)
          4. ถ้ามีโทมาฮอร์กอีก 24 ลูกแบบ เรือDestroyer ของ US คงกวาดกองทัพ
          บกได้ด้วย
          .
          .
          .
          ดังนั้น กองทัพเรือไทย สามารถเอาชนะเรือเอจิสได้ครับโดย
          - ส่งเครื่องบิน (>90) + เรือ(>16) ไปเยอะๆ  บังคับให้เอจิสยิงจนหมดมิซไซล์
          - พอหมดแล้ว ก็เอาเรือ/คอปเตอร์เราธรรมดาๆ นั่นแหละ วิ่งไปไล่ยิงด้วยปืนใหญ่
          - …พอไม่มีมิซไซล์เอจิสก็เหมือนเรือธรรมดาๆนี่เอง..
          .
          .
          .
          .
          .
          - จุดอ่อนเดียวของเรือเอจิส คือ เรือดำน้ำครับ….
          มีระบบอาวุธ แอสร็อก + เตอร์ปิโด ต่อต้านก็จริง…แต่เรดาห์เอจิสล็อกเป้า
          ใต้น้ำไม่ได้…และการตรวจจับเรือดำน้ำที่ซ่อนตัว ทำได้ยากมาก
          .
          .
          .
          ปล.
          ผมเคยเล่นเกมวางแผนยุทธศาตร์เก่าๆ อย่าง Fleet command
          - กองเรือเอจิสนี้แหละไม้ตายของ US เลย ผมไล่ถล่ม USSR เละ
          - โทมาฮอร์ก/ เครื่องบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน/ เรือเอจิส ประสานงาน
          กันได้ดี
          - แต่เรือบรรทุกเครื่องบินผมโดนเรือดำน้ำจม….ฮ่วยยย!!
          ปล2
          - แต่ถ้าเรือ AEGIS โดน SSN19-22  ของรัสเซียยิงใส่นี่รากเลือด  จรวดบ้าอะไร
          ก็ไม่รู้ 2-3 มัค แถมหัวรบมันจมเรือบรรทุกเครื่องบิน US ได้ในลูกเดียว
          - ชอบตอนกองเรือเอจิส ซ้อมยิงใหญ่มาก  จำลองสถานการณ์ฝูงบินรัสเซีย
          ระดมยิง SS22 ใส่เป็น12 ลูก  เป้าหมายเรือบรรทุกเครื่องบิน
          - เรือเอจิสทั้งกอง (6 ลำ) ยิง SM2 ไปสกัดเป็นร้อย  ผลสกัดได้ครึ่งเดียว
          - ที่เหลือลุ้นกับ ฟาลังซ์ อีก20 ป้อมรอบกองเรือ
          .
          ..

          ปล3  Rep41
          - ผมกำหนดไว้ให้เยอะๆ เพราะหมายถึงจะจมให้ได้แบบ 100% อะครับ
          - ถ้าให้กามิกาเซ่ นี่เสียดายนักบินนะครับ ^_^
          - เรดาห์หลายระบบในปัจจุบันใช้หลักการสะท้อนคลื่นกับบรรยกาศ
          - เรดาห์เอจิส ตรวจจับได้ไกลเกินระยะขอบฟ้าเยอะเลยครับ เพราะใช้หลักการ
          Doppler signal ซึ่งสะท้อนคลื่นเรดาห์ไปกับบรรยากาศชั้น Ionosphere (ระยะตรวจจับเลยปาไปเกือบครึ่งพันกิโลเมตร)
          - มีเฮลิคอปเตอร์ ช่วยขยายระยะตรวจจับด้วยแก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 52 00:48:51
          แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 52 00:39:10
          แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 20:58:35
          แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 19:26:19
          แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 18:56:23


          จากคุณ : Kross_ISC  – [ 1 เม.ย. 52 18:47:39 ]

          http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7689555/X7689555.html

          Kirov สุดยอดเรือรบ

          หาเรื่องเรือคิรอฟอ่านเล่นๆไปเจอโพสน่าสนใจขอเอามาเก็บไว้หน่อย



          ความคิดเห็นที่ 39
          เข้ามาดูด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่รู้เหมือนกันว่า รัสเซียจะมีอะไรพอรับมือกับเอจิสได้หรือเปล่า แต่เหมือนเคยได้ยินมาว่าไอ้ Kirov Battle Cruiser เนี่ย มันพอสูสีกับ เรือชั้น Ticonderoga ของ อเมริกาที่เป็นเรือเอจิส แต่อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ
          ^
          ^
          ^
          ไม่สูสีครับ  เอจิส 3-4 ลำ รุมยังเอาคิรอฟไม่ลงเลย  จัดเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุด แล้วในปัจจุบัน….เพียงแต่ Kirov มีประจำการแค่ 2-3 ลำเองตอนนี้ ขณะที่เรือเอจิสอเมริกามี 80 กว่าลำ….
          เคยมีความหลังกับไอ้เรือลำนี้บ่อยมาก Kirov จัดเป็นเรือในระดับ Battle-Cruiser เลยทีเดียว  ด้วยขนาดร่วมๆ 3 หมื่นตัน (3เท่าของเรือจักรี)..+ ขับเคลือ่นด้วยพลังงานนิวเคลียร์.  แถมระบบอาวุธอย่างเพียบ
          ยกตัวอย่างคร่าวๆ- เรดาห์ ระยะตรวจจับไกลกว่า AEGIS … (ร่วมๆ 700km)
          - เฉพาะจรวดต่อต้านอากาศยาน (Sam) มี3 ระยะระยะไกล 92 ลูก  (ระยะยิงไกลกว่า SM2 ของAegis ราวๆ 100 km)ระยะกลาง 40 ลูกระยะประชิด 192 ลูก (เช็ดดด…เข้)
          - จรวดต่อต้านเรือรบ 2 ระยะ  SSN19, SSN22  -  20 ลูก- จรวดปราบเรือดำน้ำ + เตอร์ปิโด- ป้อมปืน CIWS  30 mm ระยะประชิด (คล้ายๆฟาแลงซ์)  8 ป้อม..ยังไม่หมดนะ เอาเท่าที่จำได้  จัดเป็นสุดยอดเรือรบโดยแท้จริงเลย เสียดายรัสเซียมีใช้น้อยไปหน่อย
          อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ เอาฮาๆครับ  - ในเกม Fleet Command/Harpoon ผมคุมกองทัพเรือที่7 ของ US (18 ลำ เป็น Aegis 4 ลำ เรือบรรทุกเครื่องบิน1)- เรือดำน้ำรัสเซียมาตอดเล็กตอดน้อย  ก็ส่ง ฮ ไปปราบ
          - แล้วอยู่ๆก็มีไอ้เรือ Kirov นี้โผล่มา…- มาลำเดียวก็เสร็จกรูดิ …….(คิดในใจ)… ส่ง F18 ติด Harpoon ไป 6ลำ กะถล่มสบายๆ
          - ที่ระยะ200 km จากเรือ Kirov F18 4 ลำ หายไป…..(หายไปไหนฟะ..)
          - ซูมภาพเข้าไปดู เห็น F18 อีก 2 ลำกำลังปล่อยเป้าลวงหนีตาย กะ SAM 4 นัด..วิ่งไล่กวด….เฮ้ย..มันยิงได้ไงฟะ นี่ยังไม่ทันเข้าระยะยิงฮารปูนฝั่งตรูเลย
          - แถมไอ้เรือ Kirov ที่ว่ายังดุ่ยๆ วิ่งใส่กองเรือผม เหมือนนักวิ่งกำลังวิ่งเข้าเส้นชัย- ด้วยความหงุดหงิดเลยส่ง P3-Orion, E2-C, F14 , F18  เรือ Aegis1 ลำ + เรือฟรีเกตอีก 5 ลำ ไปขวางทาง
          - ที่ระยะยิงไกลสุดๆ.. ผมส่งโทมาฮอร์ก จากเรือเอจีส  + ฮารปูน จาก F18 ประดาประดับไป รวมๆ 40 ลูก…. กดยิงจนเหนื่อยเลย….(คิดในใจ มรึงเสร็จกรูแน่…)
          - ที่ระยะไกลสุดๆอีกเช่นกัน.. Kirov มันยิง SSN19 สวนมา 4 ลูก- 4 นาทีต่อมา ระหว่างที่กำลัง วุ่นวายกับจัดฝูงบิน….เรือ Aegis ที่ตั้งให้อยู่ในโหมดยิงตอบโต้อัตโนมัติ…จม (เฮ้ย!)
          - ดูรีเพล..เรือ Aegis ยิง SM2 ใส่…+เรือฟรีเกตที่เหลือ สาดฟาลังซ์ใส่ ยิงจรวดตกได้2 ลูก  - ฝั่งเรือ Kirov โดนขีปนาวุธผมวิ่งใส่เป็นสาย… (เป็นสายจริงๆ ร่วม  40 ลูก)
          - ตอนซูมภาพดู ผมเห็นจรวด SAM จาก Kirov ยิงสวนออกมาเป็นสายเหมือนกัน ( Kirov มีท่อยิงแซมทั้งหมด เกือบๆ 80 ท่อ)..- ฮารปูน/โทมาฮอร์กผ่านแนวแซมเข้าไปได้ประมาณ 15 ลูก…
          - Kirov ที่ซิ่งเต็มที มาสาดปืนกลใส่… มัน…มันมีฟาแลงซ์  8 แท่นยิง…- สุดท้าย เหลือฮารปูนหลุดเข้าไปถึง Kirov ได้ 2 ลูก.. ควันลุกท่วม..แต่ไม่มีไฟ  ….. แล้วมันก็ยังดุ่ยๆ เข้าใส่กองเรือผมเหมือนเดิม…
          - ระหว่างที่กำลังหงุดหงิด  USS-Kitty Hawk ของผมโดนเรือดำน้ำรัสเซียยิงจม  (ฮ่วยยยย)      (เลิกๆ โหลดเซฟเล่นใหม่..แล้วผมเอาเรือดำน้ำไปดักรุม …55)…ปล.  ไม่รู้เล่าพอเข้าใจรึเปล่า  แต่อยากแชร์ประสบการณ์สนุกๆให้ฟัง กับเรือ KIROV คู่แข่งของเรือ Aegis ครับ
          ปล2 ในรูปวงระบบอาวุธของ KIROV ให้ดู
          จากคุณ : Kross_ISC  - [ 1 เม.ย. 52 23:38:55


          http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7689555/X7689555.html

          มดๆๆ


          เมื่อความสูงเปลี่ยนแปลง N พละกำลังจะเปลี่ยนแปลง N^2 แต่น้ำหนักจะเปลี่ยนแปลง N^3
          ถ้าคุณสูงขึ้น 10 เท่า คุณไม่ได้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแค่ 10 เท่า แต่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นถึง 1000 เท่า
          เพราะเราอยู่ในโลก 3 มิติ กว้างยาวสูง เมื่อเราสูงขึ้น เราก็จะหนาขึ้น และกว้างขึ้นไปด้วย (ที่มาของ N^3)
          สมมุติคุณสูง 180 ซม. หนัก 80 กก. ถ้าคุณสูงขึ้น 10 เท่า คุณก็จะสูง 18 เมตร แต่น้ำหนักจะมากถึง 80,000 กก. หรือ 80 ตัน
          พละกำลังวัดได้จากผิวหน้าตัดของกล้ามเนื้อ ยิ่งมีพื้นที่ของผิวหน้าตัดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแรง
          ผิวหน้าตัดเป็นพื้นที่ 2 มิติ ถ้าวัตถุใดๆสูงขึ้น N เท่า ผิวหน้าตัดจะเพิ่มขึ้น N^2
          สมมุติว่าคุณที่สูง 180 ซม. หนัก 80 กก. สามารถยกน้ำหนักได้รวมน้ำหนักตัว 160 กก.
          ถ้าคุณสูงขึ้น 10 เท่า น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้น 10^3 = 1000 เท่า แต่พละกำลังจะเพิ่มขึ้นเพียง 10^2 = 100 เท่า
          ทำให้คุณที่สูง 18 เมตร หนัก 80 ตัน แต่ยกน้ำหนักได้เพียง 160 x 100 = 16,000 กก. หรือ 16 ตัน. (ไม่สามารถยืนได้ด้วยซ้ำ)
          แต่กลับกันถ้าคุณตัวเล็กลง 10 เท่า คือสูงแค่ 18 ซม. น้ำหนักคุณจะลดลงเหลือเพียง 1/10 ^ 3 = 0.001 เท่า
          แต่พละกำลังของคุณจะลดลงเพียง 1/10 ^2 = 0.01 เท่า
          คุณที่สูง 18 ซม. จะเหลือน้ำหนักเพียง 0.08 กก. แต่จะยกน้ำหนักได้ถึง 1.6 กก. คิดเป็น 20 เท่าของน้ำหนักตัว
          มด มีความยาว 6 มิลลิเมตร หนัก 3 มิลลิกรัม (0.003 กรัม) สามารถยกน้ำหนักได้ 50 เท่าของน้ำหนักตัว = 150 มิลลิกรัม
          ถ้ามดตัวใหญ่ขึ้นจนสูง(ยาว)เท่าคนหรือ 180 ซม. ก็เท่ากับใหญ่ขึ้น 180 / 0.6 = 300 เท่า
          น้ำหนักของมดจะเพิ่มขึ้น 300^3 = 27,000,000 เท่า ก็จะหนักประมาณ 81 กก. (พอๆกับคนเป๊ะ)
          แต่พละกำลังจะเพิ่มขึ้นเพียง 300^2 = 90,000 เท่า ทำให้ยกน้ำหนักได้ 90,000 x 150 มิลลิกรัม = 13.5 กก. (แค่ยืนก็ไม่ได้)
          แต่กลับกัน ถ้าย่อส่วนให้คนตัวเท่าหมด (สูง 6 มิลลิเมตร) ก็จะลดขนาดลงเหลือ 0.6 / 180 = 0.003333 เท่า
          น้ำหนักของคนจะลดลงเหลือ 0.003333 ^ 3 * 80 กก = 2.96 มิลลิกรัม (พอๆกับมด)
          แต่จะสามารถยกน้ำหนักได้มากถึง 0.003333 ^ 2 * 160 กก. = 1777.777 มิลลิกรัม หรือคิดเป็นประมาณ 600 เท่าของน้ำหนักตัว
          อยากให้หลายๆคนที่ยังมีความเชื่อผิดๆว่า แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดในโลก เพราะข้ออ้างบราๆๆๆ
          อยากให้มองความเป็นจริงว่าพวกเราอยู่ในโลก 3 มิติ เราไม่ได้แค่สูง แต่ต้องกว้าง และหนาขึ้นด้วย
          เรามักจะได้ยินข้อมูลผิดๆที่ว่า มดแข็งแรงมาก มันสามารถยกน้ำหนักได้ 50 เท่า ถ้ามันตัวใหญ่เท่าคนมันจะสามารถยกรถบัสได้
          หรือหมัดสามารถกระโดดได้สูง 30 เท่าของความสูงตัวเอง ถ้ามันตัวเท่าคน มันจะกระโดดข้ามตึก…
          ด้วงเสือ สามารถยิ่งได้เร็วที่สุดในโลก ถ้ามันตัวใหญ่เท่าคน มันจะวิ่งได้ 300 กม./ชม.
          สิ่งเหล่านี้ มันจะผกผันทันที เมื่อขนาดของสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ต่างหาก ที่แข็งแรงอย่างแท้จริง
          แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 23:39:27
          จากคุณ : (-_-”)

          1,411.2 kbit


          โดยปกติ Audio CD จะบันทึกตามมาตาฐานคือ 16 bit
          ด้วยอัตรา Sampling 44,100 Hz
          Bit คือ ความสามารถในการให้รายละเอียดเสียง, ระดับความเบาค่อย ถ้า16 bit จะได้ 65535 ระดับเสียง
          Sampling Rate คือ ค่าที่เป็นตัวบอกความต่อเนื่องของเสียง, Audio CD จะใช้ Sampling 44,100 Hz มาจากค่าความถี่เสียงสูงสุดที่คนสามารถได้ยิน(~22.05 kHz) คูณ 2 (เพราะเป็นสเตอรืโอ 2 ชาแนล)
          ทีนี้เข้าใจนะครับว่า 44.1khz คือ 44100hz ซึ่งไม่ใช่ระดับวามถี่เสียงที่คนได้ยิน แต่อย่างไร หรือเก็บข้อมูลได้สูงขึ้น -*-
          ผมยิ่งอ่าน DAC Technic ก็ยิ่งงงครับ
          เลยไม่รู้จะตอบ อธิบายเกี่ยวกับมันยังไง
          เพราะตอนแปลงเสียงกลับมาเป็น Analog ต้องใช้ DAC
          เอาเป็นว่าตามมาตราฐาน Audio CD
          44,100 samples per second  16 bits per sample  2 channels = 1,411,200 bit/s = 1,411.2 kbit/s
          ข้อมูลต่อ 1 วินาที = 1,411.2 kbit
          ถ้าเพลง 4 นาทีจะใช้เนื้อที่ 40.37 Mbyte
          แผ่น 700 Mbyte จะเก็บเพลงได้ 17 เพลง (4 นาที/เพลง)
          ถ้าบิทสูงก็จะทำให้ขนาดเนื้อที่ต่อเพลงมากขึ้น
          ก๊อปมาจากพันทิปแต่จำลิงค์ไม่ได้ละ

          กาแฟ กาแฟ กาแฟ


          วิธีชง กาแฟสด แบบอัดความดัน นะ ง่ายๆ
          เอสเพรสโซ คือเม็ดกาแฟคั่วบด อัดในเบ้า ผ่านน้ำร้อนที่มีแรงดัน เป็นตัวตั้งต้นทำกาแฟสูตรต่างๆ
          คาปูชิโน่ เอสเพรสโซ่2ช๊อต ใส่นม กี่ส่วนแร้วจำไม่ได้ แปะฟองนมไว้ข้างบนด้วย เพื่อดักความหอม คริๆ
          ลัตเต้ เอสเพรสโซ่ ใส่นมมากกว่าคาปูไปเยอะ
          มอคค่า เอสเพรสโซ่ ใส่นมกับโกโก้ มอลต์ มอลต์ แปะวิปครีมข้างบนด้วย
          อเมริกาโน่ เอสเพรสโซ่ ใส่น้ำร้อน โอเลี้ยงอ่ะแหละ
          รู้ไว้นิดว่า เอสเพรสโซ ไม่มี เย็น มีแต่ร้อน เห็นสั่งกันจังเรย เอสเพรสโซเย็น
          ปล. อีกอัน คาปูไม่ใส่ ฟองนม สั่งแบบนี้ มันก็ไม่ใช่คาปู สิบักหำ
          เครดิตโดย คุณกระบี่หัก
          1.เมล็ดพันธ์ ใช่ว่าต้องสุดยอดทุกอย่าง ถ้าเราไม่ได้ขายราคาเท่าสตารบัค
          แต่ไม่ควรเอาเมล็ดห่วยมาผสม และควรใช้ อาราบิก้าล้วนๆ คนไทยไม่ชอบขมมาก
          แนะนำเบอร์ 4 หรือ 5 มาผสม
          2.เรื่อง เครื่องชงมีผลเหมือนกัน
          แต่ก่อนผมไม่เชื่อว่าเครื่องแพงๆ จะชงได้อร่อย แต่มันก็ถูกของเค้านะครับ
          เครื่องแพงย่อมน่าจะดีกว่า และทำให้ร้าน ดึงดูดคนคอกาแฟเข้ามากินมากกว่า
          แนะนำ เครื่อง+ที่บด ต้องมีงบไม่ต่ำกว่า แสนห้าครับ สองอยย่าง
          อย่าว่าเวอร์นะครับ
          นี่คือเริ่มต้นเองครับ แถมสองอย่างด้วย บดก่ะชง จริงๆ พวกร้านดีๆเครื่องอย่างเดียวก็แสนอ่ะครับ
          3.
          ระดับการตั้งน้ำ และการทำเพอเฟคช๊อต อันนี้สำคัญสุดๆครับ ต้องหาให้ได้
          ว่าจุดพีชมันตรงไหน เชื่อไหมครับว่า ถ้าผมล้างเครื่องยกใหญ่เมื่อไหร่
          ตั้งเพอเฟตใหม่อีกครั้ง ผมเทกาแฟทิ้งไปเกือบ 6-7แก้วชอตเลย หมดไปครึ่งถุง
          เพราะหาเพอเฟคช๊อตนี่แหละ
          4.กาแฟเย็น คนไทยชอบมากต้องพยายามพลิกสูตร ด้วยตัวเองด้วยครับ อยากรูู้มากินร้านผม อิอิ
          5. จำไว้ว่า มันก็คือศิลปะอย่างนึงอ่ะครับ อย่ายึดติดตามตำรามากครับ ต้องดูจากลูกค้าด้วย งงไหม
          เรื่อง
          สูตร เอาตามตำรามันไม่ยากหรอกครับ จริงๆ อยู่ที่ เมล็ด เครื่องบดและชง มือ
          การตั้งเพอเฟคช็อต อันนี้สำคัญสุด ไว้มาเทสร้านผมได้เหอๆ เรื่องกาแฟ
          ร้านผมมีไม้ตายอยู่ที่คาปูชิโน่ กับ เอสเพรซโซ๋ อิอิ
          เหมือนที่
          คุณกระบี่หักว่า เอสเพรซโซ่เย็นไม่มี แต่คนไทยที่ไม่ใช่คอแท้ ชอบสั่ง
          แต่มันทำได้ครับและ มันต้องทำด้วยเหอๆ แปลกสุดๆ ใครคิดค้นฟระเนี่ย
          เอสเพรซเพรซโซ่เย็น ร้านผมเลยต้องฉีกกฎคิดสูตรทำเลย
          เครดิตโดย คุณนักเตะเบลโล

          ทำไมเวลาขึ้นจักรยานต้องขึ้นจากด้านซ้าย


          คำอธิบายจากรายการ Mega Clever
          ก็มาจากการขึ้นม้านั่นล่ะครับ ที่สมัยก่อน อัศวินเหน็บดาบไว้ด้านซ้าย ดังนั้นการจะขึ้นม้าให้สะดวกโดยไม่ติดขัดหรือด้ามดาบไม่ไปทิ่มพุงม้าซะก่อน ก็เลยต้องขึ้นทางด้านซ้าย เพราะจะไม่มีดาบมาบังการขึ้นน่ะครับ
          ใช่คับ ใช้ขาข้างที่ถนัด
          เพราะเป็นสัญชาติญาณ ของมนุษย์ครับ
          คนที่ถนัดขาข้างขวา จะก้าวขาขวา ออกไปอย่างอัตโนมัติ(คนถนัดขวาจะจูงจักรยานให้อยู่ขวาของตัว)
          เพราะว่าหากก้าวข้ามไปแล้วเหยียบไม่โดน ที่ปั่น(เขาเรียกว่าอะไรน้าา)
          ขาข้างที่ถนัดจะทำหน้าทีเป็นหลักแทนได้ทันที เพราะหากก้าวพลาด
          ศูนย์ถ่วงจะถูกย้ายไปโดยอัตโนมัติ จากซ้ายไปขวา (แหงล่ะ ก็มันเซนิ)
          และขาข้างขวาที่ถนัดก็จะทำหน้าที่เป็นหลักให้เราได้อย่างมั่นคงกว่าขาซ้านที่ไม่ถนัด
          เอาง่ายๆคับ เวลาคนเราเจอบันไดที่มีขั้นสูงๆ จะก้าวขาที่ถนัดขึ้นขั้นแรกก่อนเสมอ….
          จากคุณ : Omega-T
          จริงๆแล้ว เกิดจากความเสถียร คนส่วนใหญ่ การใช้ขาซ้ายเป็นฐานจะเสถียรกว่าการใช้ขาขวาเป็นฐาน เช่นลู่วิ่ง จะวิ่งทวนเข็ม เพราะขณะโค้งขาซ้ายอยู่วงใน วิ่งสั้นกว่า ยึดเป็นฐานได้ดีกว่า
          จากคุณ : เด็กน้อยหัวใจสะออน

          วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

          ไอน์สไตน์


          ไอน์สไตน์นำเสนอปรากฏการณ์โฟโตอิเลคทริคในปี 1905 สัมพัทธภาพพิเศษในปีเดียวกัน สัมพัทธภาพทั่วไปในอีก 10 ปีต่อมาคือ 1915 แต่ได้รับรางวัลโนเบลประจำปี 1921 ที่นานนักเพราะคณะกรรมการลังเลที่จะให้กับการค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนี่เองครับ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆเพราะยังไม่มีผลการทดสอบเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีมารองรับ
          จนกระทั่งปี 1919 ซึ่งมีผลการทดสอบรองรับคือ ภาพถ่ายดวงดาวที่ตำแหน่งจริงกับตำแหน่งที่เราเห็นเบี่ยงเบนกันเล็กน้อย เป็นการยืนยันทฤษฏีว่าแสงถูกแรงโน้มถ่วงทำให้โค้งได้
          แม้กระนั้นคณะกรรมการรางวัลโนเบลก็ยังไม่มั้นใจในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอยู่ดี จนเมื่อนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในยุคนั้นเริ่มโวยว่าทำไมไอน์สไตน์จึงยังไม่ได้รางวัล คณะกรรมการจึงตัดสินใจมอบให้ด้วยเหตุผลว่า "ได้สร้างประโยชน์ให้แก่วงการฟิสิกส์เชิงทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎของปรากฏการณ์โฟโตอิเลคทริค"
          เรียกว่าคณะกรรมการแกไว้เชิงจนถึงที่สุดครับ
          ไอน์สไตน์แกทำเรื่องทึ่งไว้อย่อย่างน้อย 6 เรื่องครับ แต่ที่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทึ่งที่สุดก็คงเป็น ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปครับ เพราะเป็นการพลิกแนวคิดของนิวตันในเรื่องของแรงโน้มถ่วง กาล-อวกาศ เวลา ครับ
          จากคุณ : อุปนิกขิต

          ดวงอาทิตย์


          ไม่ใช่แต่ละเดือนหรอกครับ แต่ละวันดวงอาทิตย์ก็ขึ้นและตก คนละตำแหน่งกันแล้ว  ความแตกต่างกันนี้เราเรียกว่า Declination ครับ
          Dec. เหนือสุดคือ 23.5 N  จะทำให้บ้านเรามีกลางวันที่ยาวนานที่สุดในรอบปี ประมาณวันที่ 21 มิ.ย.
          Dec. ใต้สุดคือ 23.5 S  จะทำให้บ้านเรามีกลางคืนที่ยาวนานที่สุดในรอบปี ประมาณวันที่ 22 ธ.ค.
          และถ้า Dec. เท่ากับศูนย์ ก็จะทำให้ระยะเวลาของกลาวงวันและกลางคืนเท่ากันดวงอาทิตย์จะขึ้นทิศตะวันออก และตกทิศตะวันตกพอดีเปะ ซึ่งปีหนึ่งมีอยู่ 2 วันคือ  ประมาณวันที่ 22 มี.ค.  และ 21 ก.ย. ( เกือบถึงละ)
          Dec. North บ้านเราจะเป็นฤดูร้อน ดวงอาทิตย์จะอ้อมเหนือ
          Dec. South บ้านเราจะเป็นฤดูหนาว ดวงอาทิตย์จะอ้อมใต้
          ใช่ครับใน 1 ปี ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ขึ้นลง 2 ครั้ง
          เพราะดวงอาทิตย์นี่แหละครับ ที่ทำให้ข้าวทางเหนือเก็บเกี่ยวเร็วกว่าทางใต้  และทำให้มีข้าวไวแสงและไม่ไวแสง
          เกี่ยวกันหรือเปล่าเนี่ยะ
          แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 49 22:57:49
          จากคุณ : BongKoch

          My 3rd Blog

          สวัสดีใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านในบลอกนี้นะครับ

          เป็นบลอกที่ 3 แล้ว หลังจากโดนบังคับย้ายจากสเปซของไมโครซอฟท์
          ไปเวิร์ดเพรส 
          และก็ย้ายจากเวิร์ดเพรส มาที่นี่
          เริ่มแรกคงทยอยเอาของเก่าๆมาไล่ลงก่อนละนะ
          พร้อมๆกับงมวิธีการสร้างด้วย
          ตอนเวิร์ดเพรส นี่ใช้ไม่เป็นเลย เลยไม่ค่อยอัป
          จะพยายามอัปเดทเรื่อยๆนะ

          ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านครับ :)